ครูในเมืองไทยที่ทุ่มเททั้งกายและใจเพื่อลูกศิษย์
ไม่ต่างไปจากครูเรฟ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทห่างไกล ทุรกันดาร
และตามแนวชานแดนนั้นมีอยู่ไม่น้อย
เป็นเทียนเล่มเล็กที่ส่งอแสงระยิบระยับมากกว่าที่จะโชติช่วงสว่างไสวให้เห็นได้ชัดเจน
ประเทศไทยเรามีทั้งครูและผู้เสียสละอุทิศตนที่แม้ไม่ได้สำเร็จวิชาชีพครูมาโดยตรง
แต่ก็ยอมเหน็ดเหนื่อยทำหน้าที่ของ “ครูผู้ให้” ได้อย่างสมบูรณ์ด้วยหัวใจเกินร้อย ซึ่งช่วยให้เด็กโอกาสในพื้นที่ต่างๆ
ที่น่าจะด้อยโอกาสกว่าเด็กในโรงเรียนของครูด้วยซ้ำ ได้พบแสงสว่างนำทางชีวิต
อาจจะริบหรี่บ้าง
สว่างไสว หรือติดๆ ดับๆ บ้าง ก็ยังดีกว่าปล่อยให้เด็กเหล่านั้นไม่ได้รับโอกาสใดๆ
เลย
ครูเรฟโชคดีกว่าครูไทยตรงที่ แม้จะทำการสอนในโรงเรียนเล็กๆ
แต่ก็เป็นโรงเรียนเล็กในเมืองใหญ่คือลอสแอนเจลิส
ที่อยู่ในรัฐใหญ่มีผู้รู้จักแพร่หลายคือ แคลิฟอร์เนีย และอยู่ในประเทศที่ถือกันว่าเป็นมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา
ทำให้เรื่องราวของครูเรฟสามารถเผยแพร่ไปได้แทบทุกประเทศทั่วโลก
ครูเรฟโชคดีที่อยู่ใกล้ชิดกับเทคโนโลยีทันสมัยช่วยให้การสืบค้นหาแหล่งข้อมูลเพื่อเสริมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลเป็นไปได้ง่าย
กว้างไกล และคล่องตัว ทว่า โชคดีที่รายล้อมครูเรฟอยู่จะไม่มีประโยชน์
กับครูเรฟ การจัดการเรียนการสอน เด็กๆ หรือพ่อแม่ของเด็กๆ แม้แต่น้อย
หากครูเรฟไม่ได้ทำหน้าที่ครู
ด้วยหัวใจของ “ครูผู้ให้” ที่แท้จริง
ครูเรฟเป็นตัวอย่างของครูคนหนึ่งที่พยายามหาทางออกให้กับตัวเอง ก้าวข้ามปัญหาความขัดแย้งความแตกต่างในหลายๆ
เรื่องไปให้ได้ ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน อดทน กระตือรือร้น
ที่จะเรียนรู้และพยายามแสวงหาวิธีการใหม่ๆ
มาพัฒนาปรับปรุงการสอนตลอดเวลาเพื่อทำหน้าที่ของครูผู้ให้วิชาความรู้ที่ดีและเหมาะสมที่สุดแก่ลูกศิษย์ตัวน้อยๆ
ในความรับผิดชอบ มีเด็กๆ เป็นศูนย์กลางของการจัดการเรียนการสอนในแต่ละปีโดยไม่ยึดติดกับรูปแบบหรือวิธีการจนเกินไป
ครูเรฟหวังให้นักเรียนรู้ด้วยความเข้าใจ
มีความสุขในการเรียน และเติบโตต่อไปในวันข้างหน้าอย่างมีคุณภาพ
หากครู...มีแต่ศิษย์และงานสอน ถึงแม้จะเหนื่อยเหน็ดหนักหนาเพียงใด ครูคงยิ้มรับกับความเหนื่อยนั้น....แต่...ครูไทยในปัจจุบันที่ทุ่มเททั้งกาย ทั้งใจ แต่ในที่สุดก็ต้องเปลี่ยนเส้นทางชีวิต อำลาจากวงจรของคำว่า " ครู " เพราะ เอือมระอากับ " ระบบ " ที่ใช้ " กฎกู " แทน " กฏเกณฑ์ " เจ้านายขั้นต้น ๆ ที่เรียกว่า " ผอ. " ส่วนหนึ่ง ตะเกียกตะกายมาจาก " ครูผู้สอน" ที่ไร้คุณภาพ พอมาได้ขึ้นตำแหน่ง " บริหาร " ก็ " หาร " แบบไม่ลงตัว ใช้ระบบการปกครองแบบ " ตามใจฉัน " หากลูกน้องมีความเหนียวแน่นมีระบบงานดี ปกครองยาก ก็ใช้ระบบ " ตีให้แตกแล้วแยกปกครอง" ... อย่างนี้ " ครูเรฟ" ของเมืองไทยคงไม่ได้เกิด เพราะ ถูกคุมกำเนิด โดย " กฏกู" ซะแล้ว
แต่เพราะเรา "ไม่ใช่ครูเรฟ" เราจึงเป็นอย่างที่เค้าเป็นไม่ได้ เราก็ "เป็นอย่างที่เราเป็น" ค้นหาศักยภาพของตนเองแล้วนำออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน "เราก็จะเป็นครูเรฟอย่างที่เราเป็น" ที่สำคัญก้าวแรกที่จะย่างเข้าไปในห้องเรียน พบกับหน้าตาที่มาจากพื้นฐานต่างกัน "คุณเปิดใจแล้วหรือยัง"