วันนี้ ก็เป็นเหมือนทุกๆ วัน -- เราเดินจากหอพักมาขึ้นเวรดึก ระหว่างทาง จากหอพักมาถึงห้องผ่าตัด ไม่ไกลนัก ซัก 800 เมตร ได้
-- เราเลือก ที่จะเดิน ผ่าน ห้อง ฉุกเฉิน และ แอบมอง งานเค้าว่า ยุ่ง อ่ะป่าว เพราะถ้ายุ่ง นะ ห้องผ่าตัด ก็ได้รับ อานิสงค์ นี้ด้วยเช่นกัน ขณะเดินผ่าน อ้อมไปด้านหลัง อืมมม.. เหตุการณ์ สงบเงียบ ดี แฮะ แต่แล้ว ก็ได้ยินเสียง ร้องไห้ สะอึก สะอื้น ดังแว่ว มาจากทางเดินด้านหน้า ที่เรากำลังจะเดินไปถึง
เค้าเป็นผู้้ชายตัวใหญ่ เลยหล่ะ มีน้ำตาอาบอยู่ที่ สองแก้ม พร้อมเสียง สะอื้น นั้น ครางตามมา -- เหตุการณ์ที่เค้ากะลังเจอนี้ คงสะเทือนใจ อย่างยิ่ง แต่เราก็ไม่รุ้หรอกนะ ว่า มันคือ อะไร -- เราเดินผ่านเค้ามา พร้อม กับสัมผัส ความรุ้สึกที่แสนเศร้านั้น มาแบบ จิตใจ ห่อเหี่ยวไปด้วย
-- ใครต่อใคร หลายต่อหลายคนมาโรงพยาบาล พร้อมกับ ความคาดหวัง มากมาย เช่น หวังให้หาย จาก อาการเจ็บไข้ จากความทุกข์ทรมานที่เป็นอยู่ มาพร้อมจิตใจที่ว้าวุ่น กระวนกระวาย -- น่าสงสารเป็นที่สุด
ความรัก ความห่วงใย ระหว่างกัน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ มากๆ ทีเดียว -- เห็นเรื่องอย่างนี้ทุกวัน มันก็พลอยทำให้จิตใจของเรา ด้านชา มากทีเดียว ปลงได้เยอะ ใจก็อ่อนล้า ท้อใจ ตามสิ่งแวดล้อม เฮ้อ ... แต่คงต้องน้อมนำธรรมมะ เข้ามาอยู่กับเราให้มากขึ้น เพราะไม่มีอะไรแน่นอนเลย คงต้องรีบเร่งทำบุญให้เยอะขึ้น ก็ไม่รุ้ว่าเราจะเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ ยัง -- เหลือสิ่งที่ยังอยากทำสุดๆ อยากได้อาหารใจบ้าง ( ไปเข้าคอร์ส สมาธิ ฝึกจิต วิปัสนากรรมฐาน )-- เผื่อว่าจะช่วยประพรม ใจที่ด้านชา ให้ มีชีวิต ชีวา ขึ้นมาบ้าง
--- เอ้า .. วันนี้ มารับเวรแบบ ใจ เหี่ยวๆ เลยเรา ...
ธรรมะของหลวงพ่อชา -- ท่านกล่าวไว้ว่า เวลาเจ็บป่วย ถ้าไม่หาย ก็ตาย นั่นแหล่ะ เป็นธรรมะโอสถ ชั้นเลิศ ที่ให้เรา มองให้เห็น ถึง สัจธรรม ของการเจ็บป่วย