วันนี้ดิฉันจะขอเริ่มด้วยเรื่องเล่าที่ดิฉันจำไม่เคยลืมเรื่องหนึ่ง
"ผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง มีอาการป่วยด้วยโรคทั่วๆ ไป ครอบครัวท่านก็เชิญแพทย์ประจำครอบครัวมาตรวจรักษาให้ถึงคฤหาสถ์ ผู้มีชื่อเสียงและแพทย์ท่านนั้นต่างเอื้อประโยชน์ให้แก่กัน แพทย์เสริมบารมีให้แก่ผู้มีชื่อเสียง ผู้มีชื่อเสียงก็เพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่แพทย์ท่านนั้นเช่นกัน"
"ต่อมาผู้มีชื่อเสียงท่านนั้นมีอาการป่วยทางจิต ครอบครัวท่านก็เชิญจิตแพทย์มารักษาถึงคฤหาสถ์เช่นกัน แต่คราวนี้พาเข้าทางประตูด้านหลัง โดยไปรับมาตอนค่ำ อย่างเงียบๆ และสั่งให้ใช้ผ้าคลุมหัวแพทย์ท่านไว้ด้วย เพราะไม่ต้องการให้ใครรู้ .."
มันสะท้อนภาพ stigma ที่คนไทยไม่ยอมรับผู้ป่วยจิตเวช ด้วยเหตุนี้เมื่อดิฉันพบผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยในพื้นที่ จึงไม่กล้าทักทายเขาก่อน ด้วยเกรงว่าคนทั่วไปจะล่วงรู้ว่าป่วย และอาจมีผลกระทบต่อครอบครัวของเขา ยกเว้นเฉพาะกรณีที่เขาเห็นดิฉันก่อนแล้วตรงเข้ามาทักทายด้วยความยินดีเท่านั้น .. คงเข้าใจความรู้สึกแล้วใช่ไหมคะ สรุปแล้วใครถูก stigma กันแน่นะ
เมื่อบทความ '(28) ระวังอาวุธปลายแหลมจากแปรงสีฟัน' ได้รับการตอบรับด้วยดีจากสมาชิก G2K ตัวแทนสังคมที่ mature ด้านวุฒิภาวะแล้ว เป็นการสะท้อนว่าสังคมไทยได้เปิดกว้างมากขึ้นแล้ว ปมที่ผูกในใจดิฉันมานานหลายสิบปีก็คลายออก
comment นพ.วีรพัฒน์ เงาธรรมทัศน์ เป็นความคิดเห็นสุดท้ายที่ดิฉันได้รับวันนี้ ขณะออกไปทำธุระส่วนตัวนอกบ้าน ดิฉันอ่านแล้วรู้สึกยินดีมาก และรู้สึกมั่นใจที่จะนำเรื่องเล่าเรื่องต่อไปออกมานำเสนอโดยเร็ว จึงรีบโทรศัพท์ตามให้สามีมารับ จะกลับไปเขียนขอขอบคุณทุกท่านที่บ้าน
ดิฉันขอขอบคุณความมีน้ำใจของทุกท่านนะคะ
ถ้ามีเวลากรุณาเข้าไปเยี่ยมชม '(30) หนูกราบละ อย่าให้หนูต้องแก้ผ้าเลย' เรื่องจริงของผู้ป่วยจิตเวชหญิงที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการการเฝ้าระวังฆ่าตัวตายของโรงพยาบาลจิตเวชแห่งหนึ่ง
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมค่ะ