.. เมื่อสองสามวันก่อนช่วงอีกห้านาทีก็จะเที่ยง...มีเคสwalk-inเข้ามาเป็นหญิงวัยประมาณสามสิบต้น (มารู้อายุจริงทีหลังว่าอายุ28ปี)รูปร่างสันทัด ใส่เสื้อผ้ายับไม่รมีการรีดแต่ก็ไม่ดูรุ่มร่าม ผมเผ้าหน้าตาดูกะมอมกะแมม หน้าตาดูตื่นๆ บอกว่าอยากมาขอรับคำปรึกษาและอยากจะขอมาตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี ตอนแรกที่พบเห็นเคสใส่แมสปิดปากปิดจมูกมาด้วย..เราคาดว่าน่าจะเป็นผู้ป่วยโรคปอด(แต่จริงๆแล้วเคสเป็นหวัดมีน้ำมูกไหลอยู่พยาบาลเห็นก็เลยให้ใส่แมสป้องกันไว้ก่อน)ก็เลย ตัดสินใจเชิญเคสมาพูดคุยยังห้องด้านนอก(ห้องให้ปรึกษาโภชนาการของพี่อารี)ซึ่งจะเป็นห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก และเป็นสัดส่วนพอสมควร
สร้างสัมพันธภาพด้วยการถามถึงที่อยู่และการเดินทางมายังที่ รพ. เคสก็บอกว่าเธอเพิ่งย้ายมาอยู่กับแฟนใหม่ที่แถวไทรน้อยเมื่อก่อนอยู่แถวพระประแดง.
.เราถามต่อเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา...
ว่า "แล้วที่มาที่รพ.นี่มีอะไรที่เราพอจะช่วยเขาได้บ้าง"
..เคสก็บอกว่าอยากมาตรวจหาเอดส์ให้แน่ใจอีกสักหน.
.เราฟังแล้วก็พอจะรู้ว่าเขาเคยมีประสบการณ์ไปตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอดส์มาบ้างแล้วจึงถามกลับไปว่า"เคยไปตรวจเลือดมาแล้วหรือคะ ครั้งสุดท้ายที่ไปตรวจเมื่อไหร่และได้รับผลเป็นอย่างไร"
เคสก็เลยร่ายยาวว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมาเธอไปตรวจมาสักเจ็ดแปดหนมาแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะไปที่ รพ.ใหญ่ๆในกรุงเทพฯ.
.....ถามหาเหตุผลว่าทำไมจึงตรวจหลายครั้ง.
..เคสบอก"ไม่แน่ใจอยากได้ยินหมอบอกว่าหนูไม่เป็นเอดส์."
. ตกลงผลเลือดติดเชื้อหรือว่าไม่ติดเชื้อล่ะคะ.
.."ทุกที่บอกว่าผลปกติไม่มีอะไรให้หนูสบายใจได้แต่หนูก็ทำไม่ได้.... "ครั้งสุดท้ายตรวจที่...เมื่อ19กันยายนหนูก็พาแฟนไปด้วยเขาเสียแค่นหนูไม่ได้ก็เลยยอมไปตรวจให้..และให้หนูไปฟังผลแทนเขาแต่หนูก็ยังไม่สบายใจหรือมั่นใจอยู่ดี"
...มีอะไรที่คุณปิดบังเอาไว้และไม่กล้าบอกใครอยู่หรือเปล่ามันถึงทำให้คุณดูกังวลกับเรื่องนี้เอามากๆ...เราถามและทิ้งจังหวะเงียบให้เวลาให้เคสพร้อมที่จะตอบหรือพูดอะไรบางอย่างตอบโต้มา
..ฉันมองดูสีหน้าและแววตาของเคสก็เห็นเคสเองมองสบตามองมายังที่ฉันเหมือนกัน
..เห็นเคสยังดูเหมือนว่าจะลังเล รีรอที่จะบอกจึงพยายามปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงว่า.."มีอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจนอกเหนือจากความกลัวว่าจะติดเอดส์บ้างหรือเปล่าคะ พอที่จะพูดหรือเล่าให้ฟังได้ไหมเพื่อบางทีจะได้ช่วยกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาของคุณได้มากขึ้น."
..เคสนิ่งสักครู่ก่อนที่จะเล่าให้ฟังว่า "พี่หนูมีเรื่องน่าอายอยู่เรื่องหนึ่งหนูไม่กล้าบอกให้แฟนรู้เดี๋ยวเขาจะโกรธและไปมีเรื่องกับคนที่ทำหนู"
..."มีใครทำร้ายหรือทำอะไรคุณหรือคะ พอจะเล่าให้ฟังได้ไหม"
..เคสก็สะอื้นและพูดว่า"เขาข่มขืนหนูเรื่องมันเกิดเมื่อสองปีกว่ามาแล้ว"...ฉันได้ยินแล้วก็รีบเอื้อมมือไปจับที่มือเคส..บีบมือเคสเบาๆเพื่อส่งกำลังใจ..ปล่อยให้เคสร้องไห้สักระยะหนึ่ง..สังเกตจังหวะการหายใจและเสียงสะอื้นที่สงบลง.
เคสยังระบายต่อไปว่าเขาเป็นยามที่อยู่หอพักเดียวกันกับหนู เป็นแฟนของเพื่อนหนูถึงหนูจะมี(...)มาแล้วสองคนแต่หนูก็ไม่ชอบเรื่องอย่างนั้นกะแฟนหนูเขายังชอบพูดว่าหนูว่าเหมือนกะท่อนไม้..หนูไม่ได้ไปยั่วหรือคิดอะไรกะใครเลยนะ.(เล่าเกี่ยวกับวิธีการที่อีกฝ่ายใช้กำลังบังคับและข่มเหงตัวเธอ)...หมอ(คนไข้ชอบเรียกเราอย่างนั้นแต่จริงๆแล้วเราเป็นเพียงผู้ให้คำปรึกษาไม่ได้เป็นหมอหรือนายแพทย์ )หนูกลัวจริงๆเลยเพราะผู้ชายคนนั้นมันมั่วมาก..หนูกลัวว่าหนูจะทำให้แฟนหนูติดเอดส์จากหนู...เขาคงรับไม่ได้...
ฉันเลยใช้ข้อมูลปัจจุบันมากระตุ้นสติเคสก่อนที่จะเตลิดไปไกลว่า
"..อ้าวไหนที่ผ่านมาฉันได้ยินคุณพูดว่าเคยไปตรวจมาแล้วและผลก็เป็นปกติ..คุณคิดว่าแฟนคุณจะเสี่ยงติดเอดส์จากคุณได้อย่างไรหรือคะ..คุณยังคงถูกผู้ชายคนนั้นทำร้ายอยู่หรือคะ"
...."ไม่ใช่ค่ะไม่ใช่หนูย้ายหนีเขามาเกือบสองปีแล้วตั้งแต่เกิดเรื่องแต่หนูก็ไม่สามารถจะลบความกลัวอันนี้ได้เลย".
."ได้ไปรักษาหรือปรึกษากับแพทย์ที่ไหนมาบ้างไหมเรื่องความกลัวอันนี้."
.."หนูก็ไปรับยาคลายเครียดกะนอนไม่หลับอยู่ที่รพ....มาปีหนึ่งแล้วแต่หนูไม่ได้บอกเรื่องถูกข่มขืนให้หมอที่นั่นฟัง ...หนูไม่กล้าพูดกลัวคนไม่เข้าใจและดูถูกตัวหนู."
.."ยังมีคนที่เข้าใจและเห็นใจคุณอยู่นะคะ การถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจมาอย่างนี้แล้วจะเก็บกดไว้ไม่ให้คิดหรือไม่ทุกข์ใจเลย ปุถุชนเช่นเราคงทำได้ยาก มาถึงตอนนี้คุณเข้มแข็งมากพอที่จะเล่าเรื่องนี้ออกมาได้แล้ว คุณคิดว่าจะดำเนินการทางกฏหมายกับผู้ชายคนนั้นไหมหรือว่าจะทำอะไร."
..เคสนิ่งสักครู่ก่อนตอบฉันว่า"หนูไม่อยากเจอหรือเกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีก...หนูอยากลืมแต่พอนึกถึงที่เขามั่วมากแล้วและเป็นห่วงแฟนหนูก็กลับมาเครียดอีกจนบางทีคิดอยากจะตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอดไปแต่ก็ห่วงลูก(ลูกกับสามีเก่า)...ลูกหนูเพิ่งได้สิบขวบ(อยู่ป.สี่)ถ้าหนูติดเอดส์จริงลูกหนูก็จะต้องถูกส่งไปสถานสงเคราะห์ใช่ไหมคะ "
ฉันใช้วิธีการสะท้อนความรู้สึกที่เคสมีแทนการตอบคำถามว่า..ผลกระทบของการถูกข่มขืนทำให้คุณกังวลและกลัวว่าจะติดเอดส์.
..ใช่เลยค่ะหมอหนูคิดว่าตนเองคงจะต้องติดเชื้อจากคนที่ข่มขืนหนูแน่ๆแต่พอไปตรวจหมอที่ไหนๆก็บอกว่าไม่ใช่ แต่มันก็เหมือนค้านกับความรู้สึกของหนูที่ว่าตัวเองจะมีโชคดีอย่างนี้กับเขาได้ด้วยหรือ.
..ฉันให้ข้อมูลด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า "ที่นี่เราก็เคยสงสัยแบบคุณเหมือนกันเรามีทำโครงการตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอดส์ในคู่สมรสของผู้ติดเชื้อและเราก็พบว่าเกือบสี่สิบเปอร์เซ็นต์ของคู่ที่ยังมีผลเลือดต่างกันกับผู้ป่วย คือไม่พบว่าติดเชื้อ.ทั้งๆที่บางคู่อยู่ด้วยกันมามากกว่าสี่ห้าปี.เรื่องนี้ยังหาข้อสรุปที่แน่ชัดยังไม่ได้ว่าเพราะอะไรจึงเป็นแบบนี้"
...เคสทำสีหน้าเหรอหรา..มีแบบนี้ด้วยหรือหมอไม่โกหกนะ.
..เรารุกคืบต่อ.."คุณเองก็บอกว่าได้ไปตรวจมาหลายหนแล้วครั้งสุดท้ายก็ยังได้พาแฟนไปตรวจด้วยกัน..พอจะมีผลตรวจติดมาไหม"
..เคสรีบค้นของในกระเป๋าหาผลยื่นส่งมาให้ดูเป็นผลตรวจที่ออกมาจากโรงพยาบาลซึ่งเคสไปรักษาจิตเวชอยู่..มีผลLabสองใบเป็นของเคสและชื่อผู้ชายอีกคนหนึ่ง(สามีคนที่สอง)เป็นวิธีการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีที่มีการตรวจสามวิธี(PA,Elisa,อีกตัวจำไม่ได้)ทั้งสองใบผลเป็นnon-reactive ...เคสบอกว่า"หนูไม่รู้ภาษาอังกฤษอ่านไม่ออก"
ฉันจึงอธิบายความหมายให้ฟังและถามความรู้เกี่ยวกับการตรวจหาการติดเชื้อ และระยะแฝง(Window Period) เคสก็พอจะรู้แต่มักสับสนกับระยะเวลาที่จะเริ่มมีอาการแสดงของโรคโดยเคสเข้าใจผิดคิดว่าเชื้อจะตรวจพบได้ต่อเมื่อเวลาผ่านไปสองสามปีขึ้นไป..ซึ่งคนที่ติดเชื้อจะเริ่มเป็นแผลที่ในปาก มีตุ่มคัน ท้องผุกสลับกับท้องเสีย น้ำหนักลดและเป็นไข้บ่อยๆ เคสบอกว่าเคสก็กำลังเป็นแผลในปากอยู่ พูดพลางก็โชว์แผลในช่องปากให้ดู...เราเห็นเป็นเหมือนแผลร้อนในธรรมดาก็เลยนิ่งไม่ไปต่อปากต่อคำอะไรแต่ยืนกรานข้อมูลเรื่องระยะแฝงและช่วงเวลาที่เขาได้ไปตรวจ...เคสมีสีหน้าดีขึ้นแต่ก็ยังอยากจะขอกลับมาปรึกษาอีก..เราห่วงถึงการติดตามการรักษาทางจิตเวชของเคสว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร..เคสตอบว่า "จะกลับไปหาหมอที่เดิมแต่..หนูเพิ่งคิดจะมาเล่าให้เขาฟังหมอเขาจะว่าหนูไหม"..
.ฉันใช้การย้อนถามให้เคสคิดและสรุปด้วยตนเองว่า ..เมื่อเทียบกับการปิดบังเอาไว้ไม่บอกให้ใครรู้คุณคิดว่าอะไรมันอึดอัดใจหรือเป็นทุกข์มากกว่ากันล่ะ.
..ถ้าไม่บอกหนูก็ยิ่งทุกข์แต่หนูก็ไม่กล้าหนูกลัวเขาไม่เข้าใจหาว่าหนูโกหก
ฉันให้กำลังใจและสนับสนุนความคิดที่จะเปิดเผยตนเองให้มากขึ้นของเคสว่า..หมอที่รักษาทางจิตใจจะไม่มีใครโกรธหรือต่อว่าคุณเลยเมื่อเขาได้รับข้อมูลจริงจากคนไข้เพราะถ้าคุณไม่ได้เล่าให้แพทย์รับรู้ นอกจากที่ตัวคุณเองจะอึดอัดและเป็นทุกข์แล้วหมอเองก็ไม่อาจจะเข้าใจได้ชัดเจนถึงสาเหตุที่ทำให้คุณวิตกกังวลจนเกือบจะกลายเป็นคนขาดสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้..
เคสก็ยอมรับว่า"หนูเหมือนจะเป็นคนบ้าไปแล้วจริงๆแต่ก็บ้าไม่ได้ถ้าบ้าแล้วลูกหนูจะอยู่กับใครล่ะ."...
กรณีเคสนี้นอกเหนือไปจากมีปัญหาวิตกกังวลกลัวการเป็นเอดส์อย่างรุนแรงแล้วจากการพูดคุยเพิ่มเติมทำให้พบประวัติAbuse(ถูกสามีคนแรกทำร้ายร่างกายตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่อยู่ด้วยกันและล่าสุดก็มีจากชายเพื่อนบ้านที่เป็นยาม) การให้กำลังใจและประคับประคองเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยก้าวผ่านประตูแห่งความกลัวและบาดแผลทางจิตใจที่รุนแรงและเรื้อรังนี้นอกจากการให้คำปรึกษาเรื่องเอดส์ที่เหมาะสมแล้วยังจำเป็นต้องส่งต่อไปยังจิตแพทย์ควบคู่ไปด้วย
สวัสดีคะ..คุณ seangja...
ยอดเยี่ยมมากเลยคะพี่ขวัญ...การ reflect เหมือนดึง..case มาเผชิญ..ความเป็นจริง...และที่สำคัญความมั่นคงทางอารมณ์ที่เขาเดินจากเราไป...จะไม่หวั่นไหว..ต่ออารมณ์และความคิดเชิงลบที่ไร้เหตุผล (RET) ของตนเองอีก...
กะปุ๋มชอบมากเลย...และที่สำคัญช่วยทำให้ผู้ให้คำปรึกษาเชิงจิตวิทยาท่านอื่นๆ...ได้เรียนรู้การใช้ทักษะด้วย...
ขอบคุณนะคะสำหรับบันทึกนี้...
กะปุ๋ม
ขอบคุณมากครับ ผมอ่านแล้วทำให้ได้เรียนรู้ทักษะการให้คำปรึกษา และขอนำเทคนิคไปปรับใช้กับงานของผมด้วยนะครับ
Kapoom
สวัสดีเช่นกันค่ะ...ดีใจที่พอจะเป็นประโยชน์แก่คนอื่นๆได้บ้าง..ขอบคุณสำหรับคำชมมากๆค่ะถ้ามีกรณีที่น่าสนใจจะนำมาเล่าและขอความคิดเห็นด้วยนะคะ
Bright Lily
ขอบคุณที่มาแชร์ความรู้สึกร่วมกันค่ะ...ความไม่ประมาทและการรู้จักป้องกันตนเองเป็นทักษะที่ผู้หญิงปัจจุบันทุกคนควรจะได้รับการฝึกหัดจริงๆค่ะ
ขอบคุณค่ะหากเห็นว่ามีประโยชน์ก็ยินดีมากเลยไม่สงวนลิขสิทธ์ค่ะ