ลำไย : ชุมชนคนสนใจเรื่องลำไย ถามตอบ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
http://www.gotoknow.org/dashboard/home/#/posts/545415/edit
สาวน้อยใจดี นู๋ยุ้ยแก้มตุ่ย
https://www.facebook.com/profile.php?id=100000397078840
ในปีนี้อากาศในบ้านเรา แปรปรวนมาก เกษตรกรหลายๆ รายบางรายในบางพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือตอนบน หรือในภาคตะวันออก เขตอำเภอสอยดาว หรืออำเภอโป่งน้ำร้อนจังหวัดจันทบุรี จะประสบปัญหาลำไยไม่แทงยอดชุดที่ 3 ซึ่งถ้าหากเกษตรกรที่มีลำไยอายุขนาด 4 - 7 ปี และได้ทำการเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงเดือนตุลาคมไปแล้ว เกษตรกรหากยังคงต้องการทำผลผลิตลำไยในช่วงเวลาเดิม จำเป็นที่จะต้องตัดแต่งกิ่งให้เสร็จสิ้นก่อนสิ้นเดือนตุลาคม และให้ทำการใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด+ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยพืชสด+จุลินชีพชีวภาพ จะช่วยบำรุงต้นลำไย และเป็นลดต้นทุนในการใฃ้ปุ๋ยเคมี และอย่าลืมให้น้ำกับต้นลำไยอย่างสม่ำเสมอตามตารางปกติด้วย...นะคะ
ในช่วงนี้หากสภาพดินฟ้าอากาศเป็นไปตามธรรมชาติ ลำไยของเกษตรกรจะพัฒนายอดใบได้ทั้งสิ้น 3 ชุด และพร้อมจะทำการราดสารกระตุ้นได้ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม - ปลายเดือนเมษายน ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่นิยมราดสารฯ ในช่วงเวลาดังกล่าว แม้จะได้ราคาขายน้อยที่สุด แต่ก็ถือได้ว่าไม่ต้องเดือดร้อนกับการหาน้ำมาลดต้นลำไยมากเหมือนช่วงอื่นๆ อาจจะมีปัญหาก็เพียงเรื่องโรคต่างๆ ที่เกิดจากเชื้อราค่ะ
เรามาเริ่มเตรียมคำนวนระยะเวลาการราดสารฯ กัน
สมมุติว่าเกษตรกรตั้งใจจะราดสารในช่วงระยะใบแก่ ประมาณวันที่ 15-31 มีนาคม เกษตรกรจำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งลำใยให้เสร็จพร้อมกันทั้งแปลงภายในเวลา 1-2 วัน คือประมาณวันที่ 30-31 ตุลาคม แต่ว่าการพัฒการของลำไยในช่วงใบชุดที่ 2 จะเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ทำให้ระยะเวลาในการพัฒนาเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมประมาณ 1 เท่าตัว ดังนั้นเกษตรกรจึงต้องเผื่อเวลาการพัฒนาการที่ช้าลงนี้ โดยบวกเวลาเพิ่มขึ้นเข้าไปด้วย
ใบชุดที่ 1 จะพัฒนาตลอดเดือนพฤศจิกายน - กลางเดือนธันวาคม ประมาณ 45 วัน
ใบชุดที่ 2 ถ้าอากาศไม่หนาว จะพัฒนาจากกลางเดือนธันวาคม - ปลายเดือนมกราคม ประมาณ 45 วัน
แต่ถ้ากระทบอากาศหนาว ลำไยต้องใช้เวลาพัฒนาเพิ่มขึ้นอีก 15-20 วัน รวมเป็น 60-65 วัน
กล่าวคือยอดใบชุดที่ 3 จะไม่ยอมแทงยอดออกมา จะนิ่งไปจนถึงช่วงกลางเดือน ถึงปลายเดือน
กุมภาพันธ์เลยทีเดียว
ใบชุดที่ 3 มีผลจากยอดชุดที่ 2
ถ้าอากาศในเดือนธันวาคม - มกราคม ไม่หนาวยาวนาน ยอดลำไยชุดที่ 3 จะพัฒนาตลอดเดือน
กุมภาพันธ์-กลางเดือนมีนาคม ประมาณ 45 วัน พร้อมจะทำการราดสารได้ในวันที่ 15-20 มีนาคม
แต่ถ้าอากาศหนาวต่อเนื่อง โดยยอดที่ 2 ใช้เวลาพัฒนาถึง 60-65 วัน เกษตรกรจะทำอย่างไร
ถ้าต้องการราดสารให้ได้ภายในช่วงวันที่ 15-31 มีนาคม
ประเด็นที่ต้องตัดสินใจ และหนทางทีจะต้องดำำเนินการ :
1. เราจำำเป็นจะต้องรอยอดลำไยชุดที่ 3 พัฒนาขึ้นมาก่อน หรือไม่
2. เราสามารถราดสารในช่วงกลางเดือนมีนาคม ถึงปลายเดือนมีนาคม ตามกำหนดตั้งใจเดิม ได้ หรือไม่
และจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้สามารถราดสาร ในช่วงเวลาดังกล่าว
3. เราสามารถ เลือก หรือจะราดสารฯ ในช่วงเพสลาดของชุดที่ 2 แทนการราดสารฯ เสมือนว่าลำไยได้มีการ
แทงยอดที่ 3 แล้ว ในช่วงระหว่างกลางเดือนมีนาคม - กลางเมษายน ได้หรือไม่
4. ถ้าเราเลือกราดสารฯ ในช่วงเพสลาดของกลางเดือนมีนาคม แต่ปรากฎว่ายอดที่ 3 พัฒนาการเป็นใบ
เพสลาดไม่ทัน จะทำอย่างไร
5. ถ้าราดสารฯ ไปแล้วลำไย ยังนิ่งเฉยอยู่ ไม่ออกดอกเราจะทำอย่างไรดี
6. ภาวะใด ที่เป็นตัวบ่งชี้ว่าเราควรตัดสินใจเปลี่ยนเวลาไปใช้ทำสารฯ ช่วงเวลาถัดไป (มิถุนายน)
7. ราดสารไปแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าจะราดสารฯ อีกครั้งในเดือนมิถุนายน เราจะต้องทำอย่างไรกับสารฯ ตกค้างเดิม
8. เปลี่ยนช่วงเวลาราดสารฯ แล้วจะมีโอกาส ทำลำไยให้สำเร็จได้ หรือไม่
คำตอบ :
1. เราจำำเป็นจะต้องรอยอดลำไยชุดที่ 3 พัฒนาขึ้นมาก่อน หรือไม่
คำตอบคือ ไม่ต้องรอ...ค่ะ
2. เราสามารถราดสารในช่วงกลางเดือนมีนาคม ถึงปลายเดือนมีนาคม ตามกำหนดตั้งใจเดิม ได้ หรือไม่ และจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้สามารถราดสาร ในช่วงเวลาดังกล่าว
คำตอบคือ สามารถกระทำได้...ค่ะ โดยปกติการรอให้ใบลำไยออกถึง 3 ยอด เป็นการรอระยะเวลาการพัฒนาคุณภาพของใบ เพื่อประสิทธิภาพในการเปลี่ยนธาตุอาหารเป็นแป้ง และน้ำตาล และการเคลื่อนย้ายไปสะสมในผลไม้
ปกติในภาคทฤษฎีต้นลำไยที่ยังมีอายุน้อย 2- 5 ปี จำเป็นต้องรอให้ใบมียอดประมาณ 3 ยอดก่อน จึงจะทำการกระตุ้นการออกดอกด้วยการราดสารฯ ได้
แต่ในสภาวะที่ยอดที่ 3 เกิดอาการชงัก ไม่ยอมแทงยอด เนื่องจากกระทบกับอากาศหนาวที่ผ่านมา แม้ต้นลำไยจะไม่ออกยอด แต่ภาวะของการเก็บสะสมสารอาหารในใบชุดที่ 2 จะยังคงทำหน้าที่ตามปกติค่ะ นั้นหมายถึงสภาวะความพร้อม ลำต้นใบในระยะที่ 2 จะมีความสมบูรณ์มากกว่าปกติ จัดอยู่ในภาวะที่เรียกว่า "อั้นดอก" ดังนั้นเราจึงสามารถชักนำการออกดอกด้วยการราดสารฯได้ เสมือนกับการราดสารฯ ในช่วงใบเพสลาดของชุดที่ 3
แต่การราดสารในใบชุดที่ 2 นี้ ต้องไม่กระทำในช่วงใบเพสลาด เนื่องจากใบยังไม่มีความพร้อม เกษตรกรต้องปล่อยให้ใบชุดที่ 2 นี้ได้มีการพัฒนาคุณภาพใบให้แก่เต็มที่เสมือนว่าลำไยกำ่ลังเกิดใบชุดที่ 3 แ้ล้ว กล่าวคือ ต้องปล่อยให้ใบชุดที่ 2 แก่ไปเรื่อยๆ ระหว่างนี้สารอาหารที่มีจะถูกนำไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของต้นไม้ อาทิราก และลำต้น ซึ่งจะทำให้สามารถดูดธาตุอาหารได้ดีขึ้น และสารอาหารส่วนหนึ่งก็พร้อมจะพัฒนาไปสู่การสร้างดอกค่ะ
สิ่งที่ควรปฎิบัติคือ
2.1 เมื่อถึงกำหนดยอดใบชุดที่ 3 ควรจะออก แต่ยังไม่ยอมออก ให้เราทำการใส่ปุ๋ยบำรุงยอดตามปกติ คือใช้ 64-0-0 + 15+15+15 + 0-0-60 ในอัตราส่วนปกติของแต่ละช่วงอายุ แ่ละขนาดทรงพุ่มของต้นลำไย ตามตารางดังต่อไปนี้
ตารางที่ 1 ปริมาณปุ๋ยเคมีที่ใส่ในแต่ละครั้งของการแตกใบอ่อน
เส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม (เมตร) สูตรปุ๋ยเคมี (กรัมต่อต้น)
46-0-0 15-15-15 0-0-60
4 150 100 80
5 260 180 140
6 430 290 230
7 650 450 370
หมายเหตุ : ข้อมูลกรมวิชาการเกษตร
2.2 เมื่อผ่านไป 7 วัน ก็ยังไม่ปรากฎว่ามียอดอ่อนเกิดขึ้น หรือมียอดอ่อนเล็กๆ แต่ไม่มีการพัฒนาต่อเนื่อง เนื่องจากภาวะการพัฒนาการของใบในยอดชุดที่ 2 เพิ่งกระทบหนาวในช่วงกลางเดือนธันวาคม - ปลายเดือนมกราคม ที่ผ่านมา แสดงว่าลำไยเกิดการชงักยอดแน่นอน ให้เราดำเนินการกระตุ้นการแตกยอดอีกครั้งด้วยปุ๋ยทางใบ 25-7-7 อัตราส่วน 1:1 หรือ 100 กรัม/น้ำ 20 ลิตร หรือ 2 กิโลกรัม/น้ำ 200 ลิตร หรือ 5 กิโลกรัม/น้ำ 1000 ลิตร กระตุ้นอีกครั้งหนึ่ง
2.3 เมื่อครบ 7 วัน ทำอย่างไรลำไยก็ไม่ยอมออกยอด หรือไม่พัฒนายอดต่อสักที ก็ให้เริ่มใส่ปุ๋ยทางดิน 8-24-24 เพื่อเร่งให้ใบแก่พร้อมๆ กัน และเพื่อเป็นการสะสมอาหารให้อยู่ในใบชุดที่ 2 เพื่อให้พร้อมในต่อการออกดอก เสมือนว่าขณะนี้เป็นใบของยอดใบชุดที่ 3 แล้ว
โดยปริมาณการใส่ปุ่ย 8-24-24 ใำหรับทรงพุ่มเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เมตร ดังนี้
ครั้งที่ 1 ใช้ปุ๋ยปริมาณ 400 กรัม/ต้น
ครั้งที่ 2 ใช้ปุ๋ยปริมาณ 400 กรัม/ต้น และ
ครั้งที่ 3 ใช้ปุ๋ยปริมาณ 200 กรัม/ต้น
ใส่ปุ๋ยตามตารางข้างต้น แต่ละช่วงมีระยะห่าง 7 วัน เมื่อครบ 3 ครั้ง ก็เกษตรกรให้เตรียมทำการราดสารฯ ได้เลยค่ะ (ระยะเวลาจะตรงกับการราดสารฯ ตามปกติ เสมือนว่า ต้นลำไยได้มีใบชุดที่ 3 แล้ว)
2.4 เมื่อครบกำหนดระยะเวลาราดสารฯ ให้ชักนำการออกดอกด้วยการราดสารฯ ในอัตราส่่วนสารฯ ต่อพื้นที่ตารางเมตร โดยใช้อัตราส่วนดังต่อไปนี้
ตารางที่ 2 อัตราการใช้โพแทสเซียมคลอเรตกับต้นลำไยที่มีขนาดทรงพุ่มต่างๆ
เส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม (เมตร) พื้นที่ทรงพุ่ม (ตารางเมตร) อัตราการใช้ * (กรัม/ต้น)
3 7.1 50-150
4 12.6 100-250
5 19.6 150-400
6 28.3 250-500
7 38.5 300-750
8 50.2 400-1,000
9 63.6 500-1,250
10 78.5 600-1,500
* อัตราที่แนะนำ ใช้ 8-20 กรัมต่อตารางเมตร โดยคิดจากสารโปรตัสเซียมคลอเรส บริสุทธ์ิ 99%
หมายเหตุ : ข้อมูลกรมวิชาการเกษตร
การราดสารฯ อาจใช้วิธี
1. การชั่งน้ำหนักสารฯ และนำไปโรย รอบๆ ทรงพุ่ม และรดน้ำด้วยสปริงเกอร์
2. การผสมสารฯ ในถัง และนำไปราดรอบๆ ทรงพุ่ม
3. การผสมสารฯ ในถัง และใช้เครื่องพ่นรอบๆ ทรงพุ่ม
วิธีการคำนวณ แบบง่ายๆ เพื่อจะราดสารฯ หรือใช้เครื่องพ่นสารฯ รอบๆ ทรงพุ่ม
ก. การราดสารฯ ที่ละต้น : วิธีนี้ดี แต่เกษตรกร จะยกถัง 20 ลิตร เดินวนตลอดสวน เหนื่อยมาก...ค่ะ
ให้ใช้สารฯ ผสมน้ำในความเข้มข้นทุกๆ 60 กรัม/น้ำ 20 ลิตร (ถ้าต้องการสารฯ 120 กรัม ก็ให้ใช้การผสม 2 ครั้ง แต่ถ้าสามารถหาถังน้ำมาตวงได้ปริมาตร 40 ลิตรได้ ก็ผสมสารฯ 120 กรัม ลงในครั้งเดียวเลยก็ได้นะคะ ถ้ามีแรงยกถังน้ำไหว)
ข. การเตรียมสารสำหรับพ่นครั้งละ หลายๆ ต้น : วิธีนี้สะดวก ไม่เหนื่อยมาก แ่ละเป็นที่นิยม
ใช้ถังน้ำ 200 ลิตร และใช้เ้ครื่องทำการพ่นสารฯ รอบๆ ทรงพุ่ม
ใช้สารฯ ผสมน้ำในความเข้มข้น 6 กิโลกรัม/น้ำ 200 ลิตร
สำหรับลำไย 25 ต้น (เฉลี่ยแต่ละต้นจะได้ประมาณ 120 กรัม)
30 ต้น (เฉลี่ยแต่ละต้นจะได้ประมาณ 100 กรัม
35 ต้น (เฉลี่ยแต่ละต้นจะได้ประมาณ 85 กรัม)
ใช้ถังน้ำ 1000 ลิตร และใช้เครื่องพ่นสารฯ
ใช้สารฯ ผสมน้ำในความเช้มข้น 30 กิโลกรัม/น้ำ 1000 ลิตร
สำหรับลำไย 250 ต้น (เฉลี่ยแต่ละต้นจะได้ประมาณ 120 กรัม)
300 ต้น (เฉลี่ยแต่ละต้นจะได้ประมาณ 100 กรัม
350 ต้น (เฉลี่ยแต่ละต้นจะได้ประมาณ 85 กรัม)
3. เราสามารถ เลือก หรือจะราดสารฯ ในช่วงเพสลาดของชุดที่ 2 แทนการราดสารฯ เสมือนว่าลำไยได้มีการแทงยอดที่ 3 แล้ว ในช่วงระหว่างกลางเดือนมีนาคม - กลางเมษายน ได้หรือไม่
คำตอบคือ ถ้าต้นลำไยยังเล็กอยู่ ก็จะไม่เหมะสมที่จะราดสารฯ ในช่วงนี้...ค่ะ
ถ้าต้นลำไยที่มีอายุน้อยอยู่ระหว่าง 3-7 ปี ความสามารถในการดูดอาหาร และแร่ธาตุ เพื่อเก็บสะสมในใบ จะยังไม่มีประสิทธิภาพมากเหมือนลำไยที่มีอายุ 8 -19 ปี ที่สามารถราดสารฯได้ แม้จะมีใบเพียง 2 ยอด หรือแม้กระทั่งต้นลำไยที่มีอายุมากกว่า 20 ปี ขึ้นไป ที่สามารถราดสารฯ ได้ แม้ว่าจะมียอดใหม่เพียงยอดเดียวก็ตาม
4. ถ้าเราเลือกราดสารฯ ในช่วงเพสลาดของกลางเดือนมีนาคม แต่ปรากฎว่ายอดที่ 3 พัฒนาการเป็นใบเพสลาดไม่ทัน จะทำอย่างไร
คำตอบคือ กรณีนี้หมายถึง ต้นลำไยของเกษตรกรได้มียอดที่ 3 แทงออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้พัฒนามาเรื่อยๆ ตามปกติ แต่ว่ายอดใหม่ที่เติบโตมานั้น มีการพัฒนาเพื่อเข้าสู่ระยะใบเพสลาดไม่ทันตามกำหนดการเดิม.....อย่างแน่นอน
ดังนั้นสิ่งที่เกษตรกรควรทำก็คือ ให้ปล่อยให้ลำไยได้มีความพร้อมเต็มที่เสียก่อน.....จะดีที่สุดค่ะ
เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปราดสารฯ ก่อนที่ใบจะเพสลาด ตรงกันข้ามอาจจะทำความเสียหายให้กับเกษตรกรเอง เนื่องจากใบลำไยยังไม่พร้อมรับการกระตุ้นจากสารฯ ...ค่ะ
เวลาที่เลื่อนออกไปเพียงเล็กน้อย ย่อมส่งผลดี กล่าวคือทำให้ต้นลำไยพร้อมที่จะออกดอกมากกว่าค่ะ อีกประการราคาขายลำไยก็จะสูงเพิ่มขึ้นด้วย...ค่ะ
5. ถ้าราดสารฯ ไปแล้วลำไย ยังนิ่งเฉยอยู่ ไม่ออกดอกเราจะทำอย่างไรดี
คำตอบคือ ให้เกษตรกรทำการให้สารอาหารทางใบเพื่อเป็นการกระตุ้นดังต่อไปนี้ค่้ะ
1. ใช้ปุ๋ยน้ำในกลุ่ม คีเลต (สามารถดูซืม และนำไปใช้ได้เลย โดยผ่านทางปากใบ) 5-25-30 (หรือสูตรใกล้เคีึยง) 1 ลิตร + ปุ๋ยน้ำที่มีธาตุเสริมต่างๆ และควรมี "ซิงค์" ผสมอยู่ด้วย 1 ลิตร /น้ำ 1000 ลิตร
ทั้งนี้เพื่อช่วยกระตุ้นให้ลำไยมีการพัฒนาตาดอก พวกนักการค้าสารเคมี และชาวบ้านชอบเรียกการใช้สารเคมีในกลุ่มนี้ว่า "การสะสมตาดอก"...ค่ะ และการใช้ธาตุเสริมเพื่อช่วยในกระบวณการขับเคลื่อนการดูดซืมแร่ธาตุ และซิงค์จะช่วยสร้างความทนทานต่อความแห้งแล้ง หรือการขาดน้ำที่ต่อเนื่องยาวนาน และป้องกันสภาวะการแปรเปลี่ยนของอุณหภูมิอย่างกระทันหัน จากอากาศหนาวในตอนกลางคืน แต่ร้อนจัดในตอนกลางวัน หรือการกระทบกับน้ำฝนในช่วงพายุฤดูร้อน หรือน้ำฝน ในช่วงวันสงกรานต์ เดือนเมษายน จะช่วยให้ต้นลำไยสามารถปรับตัวได้ทันต่อสภาวะทีเ่ปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว...ค่ะ
ให้ฉีดพ่นทางใบหลังการราดสารฯ 3 ครั้ง ทุกๆ 7 10 และ 15 วัน หลังการราดสาร....ค่ะ
ในบางกรณี หากมีการแปรปรวนของอากาศมากเหมือน ปีที่กำลังเขียนบันทึกนี้ (มีนาคม 2556) เกษตรกรควรเพิ่มปริมาณความเข้มข้นเป็น 2 เท่าค่ะ คือ ใช้อย่างละ 2 ลิตร/น้ำ 1000 ลิตร....ค่ะ
เกษตรกรควรให้น้ำทางดินอย่างสม่ำเสมอ ปริงเกอร์น้ำ 20-30 นาที/ต้น วัน เว้นวัน หรือ วันเว้น 2 วันก้ได้ แล้วแต่บริบทของแต่ละสวน...นะคะ ทั้งเพื่อช่วยรักษาระดับความชื่้นในดิน แ่ละความชื้นสัมพัทในอากาศที่อยู่บริเวณรอบๆ ภายในสวนลำไย เพื่อให้ต้นลำไยมีการพัฒนาของตาดอกอย่างสม่ำเสมอ ป้องกันใบอ่อนไหม้ และช่วยให้ช่อดอกที่กำลังพัฒนาไม่แห้ง...ค่ะ
6. ภาวะใด ที่เป็นตัวบ่งชี้ว่าเราควรตัดสินใจเปลี่ยนเวลาไปใช้ทำสารฯ ช่วงเวลาถัดไป (มิถุนายน)
คำตอบคือ ตัวบ่งชี้คือ เมื่อครบ 30 วันหลังจากการราดสารฯ แล้ว ในช่วงเวลาดังกล่าว เกษตรกรได้ดำเนินการกระตุ้นด้วยปุ๋ยทางดิน 8-24-24 (เพิ่มเติม) และใช้ปุ๋ยในกลุ่มคีเลตทางใบ ตามที่แนะนำข้างต้นมาแล้ว ต้นลำไยจะมีพัฒนาการแทงยอดใหม่ออกมาเป็นใบ และเมื่อเกษตรกรรอการแทงยอดครั้งถัดไปจากนี้ ซึ่งปกติจะเป็นตาดอกนั้น แต่ปรากฎว่ายอดที่พัฒนาใหม่นั้นกลับกลายเป็นใบ (ช่วงนี้เกษตรกรต้องใช้สารในกลุ่มคีเลต 5-25-30 หรือสูตรใกล้เคียง+ธาตุเสริม ที่มีซิงค์ กระตุ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว) แต่ถ้าเมื่อครบ 45 วันแล้ว เขายังเฉย แถมยอดใหม่ที่ออกมานั้น กลายเป็นเขียวสวยงาม ให้มั่นใจได้ว่า้ต้นลำไย เขาเลือกพัฒนาตนเองที่จะเป็นใบแล้ว...ค่ะ
เกษตรกร ไม่ต้องกังวลใจนะคะ เราควรดูแ่ลใบลำไยใหม่นั้นให้มีคุณภาพดีพร้อมที่จะให้ผลผลิตต่อไปในช่วงเดือนมิถุนายน ทั้งนี้เพื่อการเก็บผลผลิตในช่วงกลางเดือนธันวาคม..ค่ะ
และอีกประการ ถ้านับจากวันสิ้นเดือนเมษายน ถึงกลางเดือนมิถุนายน ที่เรากำหนดว่าราดสารฯ นั้น ก็จะครบ 45 วัน ตามระยะเวลาของการพัฒนาของใบลำไยพอดี....ค่ะ
หมายเหตุ : หากเราตั้งใจจะปรับเปลี่ยนเวลาไปราดสารฯ ใหม่ อีกครั้ง ในช่วงเดือนมิถุนายน เราจำเป็นจะต้องมีกระบวณการในการกำจัดสารฯ ที่ยังคงตกค้างอยู่ในลำต้น และในชั้นดิน ให้เหลือน้อยลงไปก่อน...นะคะ
7. ราดสารไปแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าจะราดสารฯ อีกครั้งในเดือนมิถุนายน เราจะต้องทำอย่างไรกับสารฯ ตกค้างเดิม
คำตอบคือ เราจะต้องดำเนินการกำจัด หรือลดปริมาณสารฯ ตกค้างในดินก่อนค่ะ ด้วยวิธีการดังนี้
อ้าว....เขียนเยอะเกิน พอจัดเก็บข้อมูล ข้อมูลส่วนท้ายเลยหาย....จ้อย
อ่านต่อในบทความถัดไป...นะคะ
ตามลิงค์ข้างล่างนี้..ค่ะ
ไม่มีความเห็น