เขาคนนั้น...เป็นคนเรียบร้อย สุขุม แตกต่างจากผมที่เป็นคนไม่เรียบร้อย เสียงดัง เอะอะ โวยวาย
เขาคนนั้น...เป็นคนพูดน้อย แตกต่างจากผมที่เป็นคนพูดมาก (ในวงเพื่อนๆ)
เขาคนนั้น...เป็นคนเรียนเก่ง ขยัน แตกต่างจากผมเป็นคนเรียนไม่เก่ง ขี้เกียจ
เขาคนนั้น...เป็นอาจารย์ แตกต่างจากผม ที่อายุน้อยกว่า และเป็นเพียงตำรวจชั้นประทวนยศสิบตำรวจโท
เขาคนนั้น...เป็นอะไรมากมายที่ผมไม่สามารถเป็นได้ (ทั้งๆ ที่บางครั้งพยายามจะเป็นอย่างเขา) ผมเป็นได้เพียงแค่...ผู้ชายกวนๆ คนหนึ่ง เท่านั้น
เขาคนนั้น...มีชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศ แตกต่างจากผมที่มีชื่อเสียงโด่งดังเฉพาะในครอบครัวและมวลหมู่เพื่อนฝูง
เขาคนนั้น...เดินทางไปเกือบทั่วประเทศ แตกต่างจากผมที่เดินทางออกพ้นจังหวัดสุโขทัยไปไม่กี่แห่ง
เขาคนนั้น...เดินทางไปในหลายประเทศ แตกต่างจากผมที่เดินทางไปต่างประเทศจนไม่สามารถนับได้นับไม่ได้จริงๆ (ที่นับไม่ได้ก็เพราะว่าไม่เคยไปประเทศใดเลย)
เส้นทางชีวิตของเขาคนนั้นและผม ไม่น่าจะมีอะไรที่จะบรรจบ พบพานกันได้เลย
อาจจะเป็นเพราะความซวยของเขาคนนั้น... หรือว่าอาจจะเป็นความโชคดีของผมคนนี้...
เราพบกันบนเส้นทางสายการศึกษา หลักสูตรปริญญาโทสาขาไทยศึกษา คณะมนุษยศาสตร์ ในรั้วของมหาวิทยาลัยรามคำแหง กรุงเทพมหานคร โดยมี รศ.ดร.พิชญ์ สมพอง และ รศ.บุปผา บุญทิพย์ เป็นผู้ดูแล ให้ความรู้อย่างใกล้ชิด
เขาคนนั้น...เป็นเด็กหน้าห้อง ตั้งใจเรียน ส่วนผม...เป็นเด็กหลังห้องที่มาสายเสมอและไม่ค่อยตั้งใจเรียนสักเท่าไหร่ ค่อยแต่กวนคนนั้นที คนโน้นที โต้ตอบหนังสือเวียน (จดหมายน้อย) ถึงสถานที่ ที่เราจะพบปะ แสวงหาความรู้ ถกเถียงเพื่อความงอกงามทางวิชาการกันในตอนเย็น (แบบว่า...ร้านไหนดี?)
เขาคนนั้น...เริ่มมาร่วมเป็นแขกของเราในเบื้องต้น และต่อมาก็ได้กลายสภาพเป็นสมาชิกกลุ่มอย่างฐาวร(ที่ไม่ใช่ฐาวรวัตถุ)
๒ ปี ในรั้วพ่อขุนฯ หล่อหลอมให้เขาคนนั้น...และผมรู้จักกันมากขึ้น
เขาคนนั้น...เรียนจบตามกำหนด ๒ ปี แต่...ผมคนนี้ไม่สามารถเรียนจบในระยะเวลาที่กำหนด
เพราะผมต้องการแสวงหาความรู้ให้ได้มากกว่าเพื่อนคนอื่น ผมจึงใช้เวลารวม ๔ ปี ถึงสำเร็จการศึกษา (ผมไม่ใช่คนโง่ใช่ไหม?) อาจจะเป็นเพราะผมได้รับองค์ความรู้มากเพียงพอแล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะ รศ.ดร.พิชญ์ สมพอง ประธานที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์เบื่อผมเต็มทีแล้ว จึงได้ถีบผมออกมา...
หลังจากที่เขาคนนั้นและผมไม่ได้นั่งเรียนร่วมกันในห้องเรียนแล้ว ทำให้ไม่ค่อยได้เจอกัน จะพบเจอกันในช่วงแรกๆ บ้าง ต่อมาก็ขาดการติดต่อจากกัน...
กริ๊งๆ ๆ กริ๊งๆ ๆ กริ๊งๆๆ ผมวางมือจากปากกา รับโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานด้วยอาการมึนๆ
แต่น้ำเสียงแรกที่พูดกับผม ปลุกให้ผมตื่นจากอาการมึน กลายเป็นความกระตือรือร้นที่จะรับฟังต่อไป เพราะเสียงนั้นไปกระตุ้นต่อมกระสันของผมเข้าอย่างแรง เสียงนั้นคุ้นมาก มันเป็นเสียงที่เคยพูดคุยกันในวงเหล้า เฮ้ย... ไม่ใช่วงเหล้า เป็นวงถกเถียงเพื่อความงอกงามทางวิชาการกันต่างหาก
ใช่เลย...เป็นเขาจริงๆ เป็นเขาคนนั้น...แน่แท้ ไม่ใช่สมบัติ เมทะนี, สรพงษ์ ชาตรี,กรุง ศรีวิไล หรือทูล หิรัญทรัพย์ หรือสายัญห์ สัญญา แต่อย่างใด
เขาคนนั้น...บอกผมว่า ไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นสิงห์ขาว รัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเขาจัดกันที่กรุงเทพฯ ได้พบเพื่อนร่วมรุ่นที่เป็นคนสุโขทัยและขณะนั้นก็ทำงานที่สุโขทัย และบังเอิญที่เพื่อนของเขาคนนั้น รู้จักและมีเบอร์โทรของผม เพราะเป็นหัวหน้างานของผม
เขาคนนั้น...อาจจะไม่ทันคิด หรือไม่ได้เฉลียวใจว่า...ความซวยกำลังจะมาเยือนเสียแล้ว
ผมคนนี้...คิดทันทีในเวลานั้น อย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง (พจนานุกรมให้ความหมายว่า ยิ้มด้วยความอิ่มใจ ครึ้มใจ) เฮ้ย...เราได้คนช่วยงานเราแล้ว....
เขาคนนั้น...เรียนร่วมกันกับผมในขณะที่ปี ๑ ผมเป็นตำรวจขับมอร์เตอร์ไซด์เก่าๆ ไปเรียน
พอขึ้นปีที่ ๒ ผมไปสอบปลัดอำเภอได้ขึ้นบัญชีไว้ และตัดสินใจมาบรรจุเป็นปลัด อบต. ซึ่งในขณะนั้นสภาตำบลได้ยกฐานะเป็น อบต.ด้วยผลของกฎหมาย ได้เปิดรับโอนข้าราชการจากกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ มาบรรจุเป็นปลัด อบต. แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจโอนมาเท่าไหร่ ทำให้ตำแหน่งปลัด อบต.ขาดแคลน ปลัด อบต.รุ่นผมเขาเลือกกันว่า รุ่นสนามม้า เพราะใช้บัญชีปลัดอำเภอที่ต้องไปสอบวิ่งกันที่สนามม้านางเลิ้ง (ที่ทำให้ผมแทบเป็นลม เพราะตอนเป็นตำรวจดื่มค่อนข้างหนัก) ไปบรรจุครั้งแรก ๑ มกราคม ๒๕๔๐ ที่ อบต.วังไผ่ อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี แต่ก็ยังมาเรียนด้วยมอร์เตอร์ไซด์เก่าๆ คันเดิม
ต่อมาได้โอนมาเป็นปลัด อบต.เมืองบางขลัง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๕
เมืองบางขลังแห่งนี้ เป็นเมืองเก่าที่เกิดร่วมสมัยกับเมืองเก่าสุโขทัย เมืองเก่าศรีสัชนาลัย มีหลักฐานที่สำคัญหลายประการ
แล้วผมจะทำอย่างไรล่ะทีนี้...ผมไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ เก่งก็ไม่เก่ง หลักการอะไรก็ไม่มี จะมีก็แต่หลักเกิน
ก็พอดีที่เขาคนนั้น...โทรมาหาผมพอดิบพอดี...โอ้..พระเจ้าจอร์จ มันยอดมาก ทีเดียวเชียว
เขาคนนั้น...ถูกร้องขอจากผมให้ช่วยประพันธ์บทกวีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองบางขลัง ด้วยข้อมูลอันจำกัด เพื่อจุดประสงค์เรียกร้องความสนใจจากผู้คนว่า ณ ที่แห่งนี้ไม่ธรรมดานะ ขนาดเขาคนนั้น...ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงยังได้สละเวลามาเขียนถึง
เขาคนนั้น...ไม่ปฏิเสธผม ได้รังสรรค์กวีนิพนธ์บทแรกที่เป็นอมตะทิ้งไว้ให้แก่ผู้สนใจข้อมูลชุมชนโบราณแห่งนี้ ในนามรากหยั่งบรรพกาล เนื้อหามีดังนี้
ถึงอิฐหักเสาหายถมใต้หล้า แต่คุณค่าคงอยู่มิรู้หาย
เหลืองดอกเข็มเต็มค่าสาธยาย ว่ารกรากฝากกายฝังใต้นี้
มีพรุ่งนี้เพราะวันนี้มีเมื่อวาน ให้อิฐเก่าเล่าตำนานสถานที่
เพียงเรียนรู้รกรากธรณี ย่อมดอกไม้คลายคลี่เหนือที่นั้น
จึงบางขลังยังขลังพลังยิ่ง พุทธศาสตร์สมมิ่งสิ่งยึดมั่น
ยุทธศาสตร์ประกาศชื่อระบือบรรพ์ คือรากหยั่งค้ำยันวันพรุ่งนี้.
ตามมาด้วยผลงานอมตะชิ้นที่ ๒
หลับอยู่ในไพรพฤกษ์รอศึกษา ตื่นขึ้นมาหมายเล่าเรื่องความหลัง
แปรอดีตโดดเด่นเป็นพลัง ปลุกบางขลังสร้างค่าอนาคต
ไขตำนานบ้านเมืองสืบเรื่องเล่า ฟ้าส่องใจให้เราเข้าใจบท
ฟ้าจักรีชี้ทางกระจ่างพจน์ จึงปรากฏภาพฝันให้บันทึก.
เขาคนนั้น...ไม่เคยปฏิเสธการร้องขอของปลัด อบต.บ้านนอกอย่างผม
เขาคนนั้น...ดำเนินการให้แบบเร่งด่วนเสมอ และบทกวีอีกมากมายที่ได้ถูกรังสรรค์จากมันสมองของเขาคนนั้น....ซึ่งล้วนแล้วแต่ยิ่งใหญ่ งดงาม
ไม่เพียงเท่านั้น...
เขาคนนั้น...ได้นำพาเธอคนนี้...มาร่วมแต้มแต่ง เติมเต็มเมืองบางขลัง
ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะต่อสู้ต่อไป เพราะว่าผมมีเขาคนนั้น และมีเธอคนนี้...ยืนเคียงข้างเสมอ
จากกวีนิพนธ์ของเขาและเธอ...นำมาสู่บทเพลงประจำตำบลมากมาย ถึง ๓ ชุด ขับร้องโดยนักร้องหลายท่าน เช่น ศิลปินแห่งชาติชินกร ไกรลาศ, วรัญญา กาบัว จากโรงเรียนทุ่งเสลี่ยมชนูปถัมภ์ หรือน้องบิวรายการชิงช้าสวรรค์
เขาคนนั้นและเธอคนนี้...ได้มาร่วมชม ร่วมให้กำลังใจ ตลอดจนร่วมอ่านกวีนิพนธ์ประกอบการแสดงแสง สี เสียงเมืองบางขลังทุกครั้ง
แต่ในครั้งนี้(ครั้งที่ ๕)...ในปีนี้...เธอคนนี้ติดภารกิจไม่สามารถมาร่วมงานได้ แต่ได้ฝากเงินมาสมบทสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์และพ่อขุนผาเมือง จำนวน ๑,๐๐๐ บาท (ช่างมีน้ำใจงามยิ่งนัก)
ทำให้เธออดได้ชมของดี ลีลาที่นักร้องอาชีพต้องหลีก และน้ำเสียงอันกระเส่าของเขาคนนั้น...ที่ให้เกียรติ (อย่างมาก) ร่วมโชว์เดี่ยวร้องเพลงประกอบการแสดงแสง สี เสียง บทเพลงพลังผองเรา ที่เขาคนนั้นได้แต่งทั้งคำร้องและทำนอง
ทำให้ผมขอร้องเขาคนนั้น (อีกแล้ว) ให้แต่งเพลงและร้องเองบ้าง หลังจากแต่งให้คนอื่นเขาร้องมามากแล้ว โดยให้เขาไปหารือและชวนเธอคนนี้มารวมแต่งและร่วมร้องเพลงด้วยกัน
คาดว่าในงานวันอนุรักษ์มรดกไทย ๒ เมษายน ๒๕๕๗ จะได้ฟังเสียงเพลงอันไพเราะจากเขาคนนั้นและเธอคนนี้...อย่างแน่นอน
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนรู้แล้วว่าใครคือเขาคนนั้น และใครคือเธอคนนี้
บางท่านอาจไม่รู้ ผมจะบอกไว้ในที่นี้เลยว่า
เขาคนนั้นคือ...คุณโชคชัย บัณฑิตศิละศักดิ์ วิทยาจารย์ ๘ ศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี หรือกวีซีไรต์โชคชัย บัณฑิต’ ปี พ.ศ.๒๕๔๔ หรือ อาจารย์โชค พี่โชค ของน้องๆ
ส่วนเธอคนนี้คือ...คุณดวงใจ ดำรงสุทธิพงศ์ จากสโมสรเทพศรีกวีศิลป์ หรือเจ๊ดวง หรือหญิงดวงนั่นเอง
ผมอยากบอกพี่เขาว่า...ความตาย...ไม่อาจพรากพี่มากไปจากนางนากได้ ฉันใด กาลเวลา...ก็ไม่สามารถพรากพี่โชคไปจากผมได้ ฉันนั้น
เพราะไม่ว่าพี่จะไปอยู่แห่งหน ตำบลใด ผมก็จะตามไปขอร้องให้พี่ช่วย....จนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง.....คอนเฟิร์ม.
<p></p>
บทประพันธ์เพราะมากครับ ดูขลังสมชื่อบางขลัง
ขอบคุณบันทึกถึง เขาคนนั้นและเธอคนนี้
ที่ให้อ่านด้วยความน่าสนใจยิ่ง
ขอบคุณมากครับที่แวะมาอ่าน