ข้อวัตรปฏิบัติสำหรับผู้เป็น “มะเร็ง...”



วันนี้เป็นวันพิเศษ วันมหามงคลที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติทั้งเจ้าหน้าที่ ทั้งผู้ที่เคยเข้ารักษาพยาบาลได้พากันมาอยู่วัด มาปฏิบัติธรรม เพื่อจะได้เข้าถึงความสุขความสงบ  เข้าถึงพระนิพพานด้วยกันทุกท่านทุกคน

องค์พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านเมตตาบอกให้โยมทุก ๆ คนรับทราบ การมาประพฤติ  ปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ ท่านให้เน้นความสุขทางจิตทางใจ ใครต้องการที่ถือศีล ๘ ก็ได้  ใครถือศีล ๕ ก็ได้ ตามอัธยาศัย ตอนเช้า ๖.๓๐ – ๗.๐๐ น. มีข้าวต้มให้รับประทานกัน  ตอนสายหลังจากพระทำพิธีก็มีอาหารมังสวิรัติ ตอนเย็นทางโรงครัวทำข้าวต้มให้ทานกัน  เวลา ๕ โมงเย็น

“ท่านให้เน้นไปที่จิตใจเป็นสำคัญ...”

โยมมาวัด... พยายามทำใจให้มีความสุข เราจะมีความสุขได้ก็เพราะว่าใจของเรา  อยู่กับเนื้อกับตัว เราเดินก็มีความสุขในการเดิน เรานั่งก็มีความสุขในการนั่ง เราหายใจเข้า  ก็มีความสุขในการหายใจเข้า เราหายใจออกก็มีความสุขในการหายใจออก

หลวงพ่อฯ ท่านบอกให้โยมหายใจเข้าก็ให้ใจสบาย หายใจออกก็ให้ใจสบาย ไม่ต้องไปรู้ลมออกที่ปลายจมูก ไม่ต้องไปรู้ลมเข้าที่ปลายจมูก ท่านกลัวโยมจะเครียด “ให้เราพากันหายใจเข้าให้สบาย หายใจออกให้สบาย...”

คนเราถ้าหายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย เลือดลมมันก็ดี

อย่างเราพากันนั่งสมาธิ นั่งให้ใจของเรามีความสุข หายใจเข้าให้สบาย หายใจออก  ก็ให้สบาย มันจะสงบหรือไม่สงบเราไม่ต้องไปกังวล เพียงเรามาหายใจเข้าให้มันสบาย  หายใจออกให้มันสบายเดี๋ยวมันก็สงบเอง ถ้าเราไปอยากให้มันสงบมันจะไม่สงบ  เพราะสมาธิคือการปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ปราศจากความต้องการ ปราศจากตัวตน มีแต่การปล่อยการวาง

เรานั่งสมาธินี้ พระพุทธเจ้าท่านให้เราปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างให้มันหมดนะ แข้งขามันจะปวดก็ช่างมันปล่อยวางให้หมด ยิ่งเราไม่อยากให้มันไม่ปวดแข้งปวดขามันจะยิ่งปวด

สมาธิแปลว่าความสงบ ถ้าเราไม่มีความต้องการอะไรมันก็สงบ ที่มันไม่สงบก็เพราะเราต้องการโน้นต้องการนี้

เราคิดมามาก เราปรุงแต่งมามาก เรามีความอยากมีความต้องการมามาก

ทีนี้นะเราจะมาฝึกหยุด ฝึกปล่อย ฝึกวาง เราไม่ต้องไปห่วงลูกห่วงหลาน เขาจะรวยก็เป็นเรื่องของเขา  เขาจะจนก็เป็นเรื่องของเขา เราไปคิดไปปรุงไปแต่งเราก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้ แม้แต่ตัวเองทานอาหารทุกวันมันก็ยังเจ็บ ยังแก่ มันใกล้จะตายแล้วนะ...

เราเกิดมาทุก ๆ คนน่ะไม่ได้อะไรมา เวลาตายไปเราก็ไม่ได้อะไรไป เวลาจะไปคิดมากมันไปทำไม เราคิดมากไปก็เกิดเป็นภพเป็นชาติ ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป มันต้องมีปัญหา มันต้องมีภาระ มันต้องมีหน้าที่

โยมทุก ๆ คนก็อายุป่านนี้แล้ว พระพุทธเจ้าท่านเมตตาสั่งสอนเราให้เราฝึกหยุด  ฝึกปล่อย ฝึกวาง ให้เป็นคนรักศีล รักธรรม ชอบศีล ชอบธรรม ถ้าเรารักศีลรักธรรมแสดงว่าเรารักพระพุทธเจ้า เราเคารพพระพุทธเจ้า ถ้าเราไม่รักศีลไม่รักธรรมแสดงว่าเราไม่รักพระพุทธเจ้า ไม่เคารพพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้านั้นคือศีล พระพุทธเจ้านั้นคือธรรมะ

ร่างกายของเราทุก ๆ คนนี้คือธรรมะ คือความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก สิ่งเหล่านี้มันเป็นธรรมะมันเป็นธรรมชาติ

พระพุทธเจ้าท่านให้พวกเราทุก ๆ คนรักธรรมะรักธรรมชาติ ให้พอใจในการที่เราเกิดมา เมื่อเราพอใจแล้วเราจะได้สร้างบารมี เพราะว่าภพภูมิของมนุษย์เป็นภพภูมิที่ประเสริฐ สามารถที่จะประพฤติธรรมปฏิบัติธรรม สิ้นอาสวะ หมดการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร

ถ้าเราได้เกิดเป็นเทวดามันก็สบายเกินไป มันก็ตั้งอยู่ในความเพลิดเพลิน ในความประมาทไม่สามารถที่จะบรรลุธรรมได้ ถ้าเราไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมันก็ทุกข์ยากลำบากเกิน ระบบสมองอย่างนี้ก็ไม่สามารถประพฤติปฏิบัติให้บรรลุมรรคผลพระนิพพานได้

พระพุทธเจ้าท่านให้เราพอใจในความแก่ ความแก่คร่ำคร่า ความชรา จะเดินจะเหิน  ไปมาก็ไม่สะดวก จะวิ่งเหมือนเด็ก ๆ มันก็ไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านให้เรารักให้เราชอบ  ในความแก่ ถ้าเราไม่รักไม่ชอบมันก็จะทำให้ใจของเราเป็นทุกข์

คนแก่แล้วจะเอาความสุขทางร่างกายมันก็เอาไม่ได้ เมื่อเอาความสุขทางร่ายกายไม่ได้เราก็เอาความสุขทางใจ

เราต้องรักความแก่ รักความเจ็บ ใจมันจะสงบ

ส่วนใหญ่คนเรามันชอบคนหนุ่ม คนแข็งแรง พระพุทธเจ้าท่านให้เราพอใจในความแก่ของเรา ไม่ปฏิเสธ ไม่ปฏิฆะ มันจะทำให้เรากินไม่ได้นอนไม่หลับ ความอยากความต้องการ มันจะเผาเราทุกวันทุกคืน ถ้าเราไม่รักเขาไม่ชอบเขา

พระพุทธเจ้าท่านให้พอใจในความเจ็บไข้ไม่สบาย ไม่ว่าเราจะเป็นโรคอะไร  เกิดโรคอะไร เราต้องรักโรคที่มันเกิดขึ้นแก่เรา ถ้าเราไม่รักเขาไม่ชอบเขาใจเรามันก็จะไม่สงบ เมื่อใจเราไม่สงบเราก็นอนไม่ได้ทานไม่ได้ สาเหตุมันเกิดมาจากอะไร ก็เพราะเราไม่ชอบเขา เราว่าเขาเป็นศัตรู ไปว่าเขาว่ามาทำให้เราไม่สบาย

อย่างเราเป็นโรคมะเร็งมันก็เป็นมาแล้วหลายปี เราไม่รู้ เมื่อเราไปอยากให้มันไม่เป็น  ไปหาสถาบันมะเร็ง เขาใช้เครื่องมือมาตรวจรู้ว่าเป็นมะเร็ง ทีนี้เราก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ  ไม่กี่วันร่างกายมันก็วูบผอม ๆ เลยนะ คิดไปต่าง ๆ นานา ไม่อยากตาย อยากจะอยู่ไปอีก  เพื่อสร้างความดี เพื่อสร้างบารมี เป็นห่วงลูกห่วงหลานที่มันยังยากจนอยู่ ที่มันยังเรียนอยู่  ที่มันยังเอาตัวเองไม่รอด ยิ่งคิดก็ยิ่งทำร้ายตัวเอง เราอยากให้มะเร็งมันหายเราก็หาวิธีฆ่ามะเร็ง หาวิธีทำคีโม ฉายแสง บางทีมันก็หาย บางทีมันก็ไม่หาย มันบีบคั้นทั้งกายและใจเพราะเราไม่รักธรรมะ ไม่รักธรรมชาติ ไปบีบคั้นความไม่สบาย

พระพุทธเจ้าท่านให้เราชอบ ยินดีในความเจ็บความไม่สบาย แล้วแต่อะไรมันจะเกิดขึ้น แล้วแต่อะไรมันจะดับไป เราต้องทำใจของเราปล่อยวางในศึกษาสงครามในจิตในใจ

ถ้าเราไม่มีความแก่ ความเจ็บไข้ไม่สบาย เราจะพัฒนาจิตใจเข้าถึงพระนิพพานได้อย่างไร...?

พระพุทธเจ้าท่านให้เรารักธรรมะรักธรรมชาติ รักความเจ็บ ความแก่ ความตาย  ความพลัดพราก เราจะได้มาแก้ที่จิตใจของเรา มามีความสุขในการรักษาศีล ๕ มีความสุข  ในการทำทุกสิ่งทุกอย่าง

ถึงเวลาแล้วที่เราจะได้ฝึกจิตฝึกใจ... ให้เรามาพากันฝึกสติ ยับยั้งจิตใจ เพื่อจะได้เข้าหาพระพุทธเจ้า เข้าหาพระธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ความปรุงแต่ง

ถ้าเราจะไปแก้ปัญหาทางร่างกายมันแก้ไม่ได้หมดนะ มันเพียงบรรเทาทุกข์เท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าท่านให้มาใช้สติปัญญา ปรับใจ มาพอใจในศีลในธรรม

ทุกคนเกิดมามันมีสมบัติส่วนตัวอย่างนี้แหละ คือความเกิด ความแก่ ความเจ็บ  และความตาย พระพุทธเจ้าท่านให้เราปรับใจตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ตาย

ความหลงของเรานี้ก็ไม่อยากให้ตัวเองเจ็บ ไม่อยากให้ตัวเองแก่ ไม่อยากให้ตัวเองตาย มันเป็นไปไม่ได้ ร่างกายของเราแล้วแต่มันจะเป็น บางวันมันก็นอนหลับสบายดี บางวันก็นอนไม่ค่อยหลับ บางวันมันก็ตัวร้อน เป็นไข้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามันจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมัน อย่างมากมันก็แค่ตายเท่านั้นแหละ มันไม่เลยตายไปได้ เพราะสิ่งต่าง ๆ มันก็เป็นอย่างนี้แหละ มันจะมาเกิดแก่ชีวิตจิตใจของเรา

เราจะเอาความชอบความไม่ชอบเป็นที่ตั้งไม่ได้ พวกเงิน พวกทรัพย์สมบัติ ลาภยศสรรเสริญนี้ มันก็ช่วยเราได้เพียงเล็กน้อย พระพุทธเจ้าท่านให้เรามาแก้ที่จิตใจของเรา  ที่ความคิดของเรา ที่มันมีความเห็นไม่ถูกต้อง ความคิดเห็นยังไม่เป็นธรรมะ จิตใจของเรา  มันประกอบด้วยทิฏฐิมานะ อัตตาตัวตน อันนี้ก็ของเรา ลูกเราหลานเรา บ้านช่องอะไร  ก็ของเรา มันยังมีความคิดความเห็นที่ผิดอยู่มาก

พระทุกรูป โยมทุกคนอย่าคิดว่าตัวเองมีความเห็นถูกนะ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า  เรายังมีความคิดเห็นที่ผิดอยู่ ไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ รักสุขเกลียดทุกข์ อันนี้ท่านว่า   มีความเห็นผิด

เมื่อเราอคติ ลำเอียง ความทุกข์มันก็เล่นงานเราใช่ไหม...?

“ใช่” เพราะใจของเราไม่ได้ไปทางสายกลาง มันยังไปซ้ายไปขวา พระพุทธเจ้าท่านให้เราละทั้งสุขละทั้งทุกข์ จิตใจมันจึงจะเข้าถึงการไม่ปรุงแต่ง

ขึ้นชื่อว่าความอยากความต้องการมันเล่นงานให้เราเป็นทุกข์แน่ มนุษย์เราทุกคน  อยากมีความสุข อยากรวย อยากเฮง ทุกคนถูกความอยากมันครอบงำ ความต้องการ  มันครอบงำ พระพุทธเจ้าท่านเมตตาบอกเราว่า เรายังมีความคิดความเห็นความเข้าใจที่ผิด อันนี้ไม่ใช่ทางไปพระนิพพาน มันยังเป็นทางไปมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ มันยังเป็นทาง  ที่ยังเวียนว่ายตายเกิด

ท่านให้เราเกิดมาเพื่อเป็นคนเสียละ เป็นผู้ให้ ผู้ไม่เอา เป็นผู้ไม่ติดสุขติดสบาย  ขึ้นชื่อว่าติดคือไปไม่ได้ ติดคืออยู่ที่เก่า จิตใจไม่ได้พัฒนาไม่ได้ก้าวหน้า ถ้าเราติดขัดอะไร  อย่างนี้ เรามันก็ไม่ค่อยสบาย จิตใจมันไปติดไปยึดไปหลงเหมือนกัน

เราทุกคนชื่อว่าเป็นคนโชคดีนะ เป็นผู้ที่ได้เกิดมาพบพ่อแม่ครูบาอาจารย์  พบพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เรามาปรับจิตใจมาประพฤติปฏิบัติธรรม  ทำไปทุกวันนะ เดี๋ยวมันจะค่อยดีขึ้นพัฒนาขึ้น

โยมมาอยู่วัดก็ถือว่าเรามาชาร์จแบตเตอร์รี่ พยายามทำใจให้มันสงบ ทำใจให้มันเย็น พยายามอยู่กับตัวเอง ไม่ต้องคุยมาก ไม่ต้องพูดมาก มีโทรศัพท์ก็เก็บเอาไว้ก่อน เรามาเน้น ฝึกจิตใจให้เป็นแนวทางที่จะนำไปประพฤติปฏิบัติ เวลาเรากลับไปบ้านก็ให้เราเอาธรรมะ  ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนไปประพฤติปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติต้องปฏิบัติต่อเนื่องทุกที่ทุกแห่ง เราต้องรักศีล รักธรรม ไม่อย่างนั้นเราทุกข์แน่ ร่างกายเราทุกข์อยู่แล้วใจเราเลยทุกข์ไปด้วย

เรารับผิดชอบทำหน้าที่ทางโลกมาพอสมควรแล้ว คราวนี้เรามาทำหน้าที่ของเราเพื่อเปิดทางพระนิพพาน

ตั้งใจให้ดี ๆ สมาทานให้ได้ เพราะเราทำตามทิฏฐิมานะ ทำตามกิเลสจนท่องเที่ยว  ในวัฏฏะสงสารมามาก แล้วเราจะไปโทษแต่สิ่งภายนอก ทีนี้เราจะไม่ไปโทษสิ่งภายนอกแล้ว เพราะเรายังไม่ได้ปฏิบัติศีลปฏิบัติธรรม ทีนี้เราจะพึ่งพระพุทธเจ้าด้วยการรักษาศีล  ปรับจิตใจเข้าหาธรรมะ จะไม่เป็นนักรบผู้ดุร้าย รบกับความแก่ ความเจ็บ ความตาย  ความพลัดพราก มันเป็นไปไม่ได้ ให้ปรับใจเข้าหาศีลนะเพื่อจะไปพระนิพพาน...


พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยายให้กับเจ้าหน้าที่และผู้ป่วยจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ

ค่ำวันพฤหัสบดีที่ ๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖


หมายเลขบันทึก: 531004เขียนเมื่อ 22 มีนาคม 2013 20:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มีนาคม 2013 20:31 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท