เมื่อเช้านี้ผมนั่งหน้าคอมฯ เพื่อเริ่มต้นทำงาน แต่เจ้ามิ้งค์ก็เดินมากวนวนซ้ายวนขวาอยู่ที่เครื่องจนทำงานไม่ได้ ผมทนไม่ไหวก็เลยลุกไปนั่งบนโซฟาฟังเพลงโดยมีเจ้ามิ้งค์เดินมานอนอยู่ข้างๆ
ผมเปิดเพลงในช่อง Positivity จาก CalmRadio ที่ผมเป็นสมาชิกอยู่ และเมื่อเพลงผ่านไปประมาณสองสามเพลงเจ้ามิ้งค์ก็หลับ ส่วนผมก็เคลิ้มๆ สบายมีความสุข ผมหันไปดูเจ้ามิ้งค์แล้วก็นึกขึ้นว่า "อ้อ นี่สิหนอคือนางฟ้าที่เขาสอนกันมานั่นเอง"
"นางฟ้าคือผู้ส่งสารของพระเจ้า" เป็นคำสอนที่มีอยู่ในเกือบทุกศาสนา แม้ศาสนาพุทธเองก็มีเรื่องเล่าเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับนางฟ้า (หรือเทวดา) อยู่เยอะ เพราะศาสนาพุทธไม่ได้ปฎิเสธว่าพระเจ้าไม่มีจริง แต่สอนให้มุ่งประเด็นที่พึ่งตัวเองมากกว่าการอ้อนวอนขอร้องพระเจ้า ซึ่งก็สอดคล้องกับคำสอนของศาสนาอื่นกลุ่มที่สอนในมุมมองของ "free will" หรือผลจากการกระทำของบุคคลนั้นเกิดเพราะการกระทำตัวบุคคลเองนั่นเอง
ไม่ว่าเราจะเชื่อเรื่องพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม หากเรามองในมุม "romantic explanations" หรือการสอนแบบอุปมาอุปไมเราจะเห็นความจริงที่ไม่แตกต่างของทุกศาสนาที่มีอยู่อย่างเท่าเทียมกัน ศาสนาพุทธอาจจะมาในแนวทาง "realistic explanations" แต่ผมกลับเห็นว่าเนื้อหาโดยรวมกลับไม่ได้ต่างกันเลยกับศาสนาอื่นๆ ครับ ยิ่งศึกษาผมก็ยิ่งพบว่าคำสอนหลักของ "ศาสนายุคใหม่" หรือศาสนาที่อายุประมาณสองพันถึงสามพันปีนี้สอนในเรื่องเดียวกันหมดเลย
แต่อย่างไรก็ตาม "พญามาร" ก็ไม่ได้หยุดทำงาน คนเรากลับเห็นความต่างของศาสนาที่มีเพียงเล็กน้อยมากกว่าความเหมือน เป็นเส้นผมบังภูเขาแท้ๆ
ในเรื่องสารของพระเจ้าที่มากับนางฟ้านั้น ในวันที่จิตใจของเราสุขสงบ มองออกไปแล้วเราจะเห็นนางฟ้าเยอะแยะเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นผีเสื้อตัวน้อยที่เต้นระบำล้อแสงแดดยามเช้า หรือนกน้อยๆ ที่ร้องเพลงขับกล่อมอยู่บนต้นไม้ แม้กระทั่งสายลมที่โชยอากาศเย็นยามเช้ามาโดนตัวเรานั้นก็เกิดขึ้นมาเพราะนางฟ้ากระพือปีก
ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้คือ "สาร" จากพระเจ้าให้เรารู้ว่าเรายังอยู่ในสวนอีเดน ไม่เคยถูกขับออกไปไหน อมิตาภพุทธะ! แดนสุขาวดีอยู่ที่นี้เอง
แต่วันไหนจิตใจของเราไม่สุขสงบเราจะสื่อสารกับพระเจ้าไม่ได้เลย สารต่างๆ ที่มาจากพระเจ้าแม้จะมากแค่ไหนก็ตามเราแทบจะรับไม่ได้แม้สักสารเดียว แต่เรากลับได้รับสารจากพญามารเต็มไปหมด
แต่นางฟ้าก็ยังทำงานอย่างสม่ำเสมอในทุกวันนะครับ มีแต่เราเองเท่านั้นที่จะเลือกรับหรือไม่รับสารเหล่านั้น ผมบอกตัวเองว่าจะไม่ปิดตัวเองที่จะสื่อสารกับพระเจ้า และจะไม่ตกเป็นเครื่องมือของพญามาร การฝึก "สติ" ดูเหมือนจะเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเรียกว่า "วิปัสสนา" โดยชาวพุทธ หรือ "meditation" โดยชาวคริสต์ ก็ตามครับ
เข้าใจความรู้สึกดีๆเช่นนี้ค่ะ....
โอ... อ่านดีจังเลยค่ะอาจารย์
กำลังฝึกมอง และฝึกปฏิบัติอยู่พอดีค่ะ
ขอบคุณมากนะคะ
มีนางฟ้าน้อยๆที่บ้านมาฝากค่ะ :)
อาจารย์พูดถึง "นางฟ้า" เลยทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่อง "City of Angels" จังเลยครับ
แตกต่างกันตรงที่ว่าในเรื่องนี้เขาพูดถึง "เทวดา" นะครับ เพลงประกอบก็ไพเราะมากๆ เลย
นางฟ้าคือผู้ส่งสารของพระเจ้า
นั่งอยู่ใต้ต้นไม้แล้วเห็นนกเล็กส่งเสียงร้องจิ๊บๆก็มีความสุขค่ะ