ตั้งแต่ครึ่งหลังของศตวรรษที่17ปัตตานีเข้าสู่ยุคแห่งความตกต่ำ ด้วยปัจจัยจากการแบ่งแยกพื้นที่ ความแตกแยกของดินแดน และวิกฤตผู้นำไร้รัชทายาทสืบทอดราชบัลลังก์ ตลอดจนการไม่มีผู้นำที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ปัตตานีประสบปัญหาด้านความไม่สงบทางการเมือง และความเสื่อมทางเศรษฐกิจ ก่อนการตกอยู่ภายใต้อำนาจของสยามในปี พ.ศ. 2328 ปัตตานีกลายเป็นรัฐขนาดเล็ก เสื่อมกำลังอำนาจและอิทธิพล แม้ว่าปัตตานีจะถือโอกาสประกาศความเป็นเอกราชให้แก่รัฐของตนเองภายหลังที่สยามถูกยึดครองโดยพม่าก็ตาม แต่ในที่สุดสยามก็ได้มีความพยายามรวบรวมการปกครองประเทศของตนเองอีกครั้ง ความพยายามนี้ประสบความสำเร็จโดยพระเจ้าตากสินในการขับไล่การยึดครองของพม่าที่อยุธยา นอกจากนี้บรรดาเจ้าเมืองที่ได้ก่อกบฏถูกปราบปรามลง ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างสยามกับปัตตานี ก็คือการใช้กำลังอำนาจในการยึดครอง เป็นความสัมพันธ์ในฐานะเจ้าประเทศราช อันหมายถึงการสิ้นสุดแห่งความรุ่งเรือง และอดีตอันเป็นอิสระของรัฐปัตตานี
การสิ้นพระชนม์ของอาลง ยูนุส เมื่อ พ.ศ.2272ถือว่าเป็นการสิ้นสุดอำนาจของราชวงศ์กลันตันที่มีต่อปตานีระยะหนึ่ง และเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ทำให้บัลลังก์ของราชสำนักมลายู-อิสลามปตานีต้องว่างลงนานถึง47ปี
ขณะนั้นสยามติดพันการรบกับพม่าและได้สูญเสียเอกราชให้แก่พม่า
ปัตตานีได้ตั้งตัวเป็นอิสระเช่นเดียวกับชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช
ในสมัยรัชกาลที่ 1
จึงได้มีการรวบรวมปัตตานีเข้ามาอยู่ในการปกครองของสยามอีกครั้งหนึ่ง ต่อมาในปี พ.ศ.2319 จึงได้มีการแต่งตั้งให้สุลต่าน
มูหัมมัด ปกครองปตานีต่อมาในยุคนี้ได้ชื่อว่าเป็นยุคสมัยแห่งการปราบปรามหัวเมืองมลายูอย่างจริงจัง
สยามได้โจมตีปัตตานีในปี พ.ศ. 2328 สมเด็จกรมพระราชบวรมหาสุรสิงหนาท พระยากลาโหมราชเสนา และพระยาราชบังสัน
ได้ยกทัพสยาม ราว ๒๐,๐๐๐
คนทั้งทางบกและทางทะเล ซึ่งใช้เรือใบสำเภามีพลแจว รุกเข้าไปยังเมืองตานี กลันตัน
ตรังกานู เคดาห์(เกอดะห์หรือไทรบุรี) และปีนัง (เกาะหมาก)
ทำให้ปัตตานีเข้าอยู่ในอาณาจักรสยามอีกครั้ง
สุลต่านมะหะหมัดหนีไปเมืองรามัณห์และสิ้นพระชนม์ในสนามรบ วังเจ้าเมืองและ
มัสยิดกรือแซะอันศักดิ์สิทธิ์ถูกเพลิงไหม้ ต่อจากนั้นกองทัพสยามได้นำชาวปัตตานี
และชาวมลายูทางใต้จำนวนนับแสนคนมาอยู่รอบกรุงเทพ
คนมลายูพวกนี้ได้เป็นกำลังสำคัญในการขุดคลองแสนแสบเพื่อเป็นเส้นทางลำเลียงทหารไปยังกัมพูชา
เมื่อขุดคลองเสร็จก็ตั้งบ้านเรือนทำนาเลี้ยงแพะวัวควาย และขายข้าวหมกไก่ โรตี
มะตะบะ อยู่ในบริเวณสองฟากคลองแถบหนองจอก มีนบุรี และ แปดริ้ว จนถึงปัจจุบัน
สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงตั้ง ตนกู ลับมิเด็น (ตนกูละมีดีน หรือ
ตนกู เกาะมะรุดดีน)ซึ่งเป็นเชื้อสายของเจ้าเมืองปัตตานีเก่า
เป็นรายาหรือเจ้าเมืองปัตตานีคนใหม่ แต่ให้อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าเมืองสงขลา
ส่วนพระยาไทร พระยากลันตัน และ พระยาตรังกานู นั้นขอร่วมเป็นขัณฑสีมาต่อกรุงเทพฯ
โดยดี
ปืนใหญ่ที่กองทัพไทยนำลงเรือสำเภามาจากปัตตานีในสมัยนั้น
มีสองกระบอกด้วยกันคือกระบอกที่มีชื่อว่า "ศรีปัตตานี" กับ
"กับศรีนาฆารา" ปืนใหญ่ที่ ชื่อ"ศรีนาฆารา
ได้ตกลงไปในน้ำทะเลที่ท่าเรือหน้าเมืองปัตตานีระหว่างการขนส่งขึ้นเรือ ส่วนปืนใหญ่
"ศรีปัตตานี"ยาว 3 วา 1 ศอก 1 คืบ 2 นิ้วกึ่ง กระสุน 11 นิ้ว
หล่อด้วยสำริดนั้น ได้จารึกนามลงไว้ที่กระบอกปืนว่า “พระยาตานี”
โดยตกแต่ง ลวดลายท้ายสังข์ขัดสีใหม่ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่หน้ากระทรวงกลาโหม
กรุงเทพ
วศินสุข. ข้องใจในประวัติศาสตร์ปัตตานี.
รัตติยา สาและ .(2544). การปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกที่ปรากฏในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส. กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย.
สุภัตรา ภูมิประภาส. : สี่กษัตริยาปตานี : บัลลังก์เลือด และตำนานรักเพื่อแผ่นดิน. http://www.oknation.net/blog/print.php?id=209991 เข้าถึงเมื่อ 5 มีนาคม 2556
.ไม่มีชื่อผู้แต่ง. บทความประวัติเมืองปัตตานี. http://atcloud.com/stories/23146. เข้าถึงเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2556.
ไม่มีความเห็น