ความหมายและประโยชน์ของการบันทึกการเรียนรู้ (Note Taking)
การบันทึกการเรียนรู้หรือ Note Taking นั้นจะเกิดการผู้เรียนหรือผู้ศึกษาข้อมูลใดๆ มีความต้องการเขียน จด พิมพ์หรือเผยแพร่ข้อมูลที่ผู้เรียนหรือผู้ศึกษาข้อมูลนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นจากการอ่านหนังสือ, การเรียนในห้องเรียน, บันทึกหลังการสอน, การดูทีวี, การจดคะแนนของผู้เข้าแข่งขันในรายการประกวดร้องเพลง, การถอดเทปจากเพลงต่างๆ การบันทึกช่วยจำ, การบันทึกการประชุม, การรวบรวมองค์ความรู้ หรือแม้แต่การจดเนื้อหาเข้าห้องสอบ โดยมีรูปแบบที่ไม่ตายตัว มีอิสระในรูปแบบต่างๆ ตามความต้องการของผู้บันทึกเอง ซึ่งมีรูปแบบทั้ง ข้อความ, การใช้สีต่างๆ, สัญลักษณ์, ตัวย่อ, ภาพ, วิดีทัศน์, บันทึกเสียงและการใช้รูปภาพตัดแปะ
ซึ่งประโยชน์ของการบันทึกการเรียนรู้จะช่วยทบทวนสิ่งที่ได้เรียนหรือศึกษามาแล้ว จะส่งเสริมประสิทธิภาพด้านความจำระยะยาวได้ดีขึ้น
ภาพอ้างอิงจาก http://www.ellaz.com/AIV/
การทบทวนสิ่งที่ได้เรียนหรือศึกษามาแล้วจะช่วยให้เพิ่มประสิทธิภาพด้านความจำระยะยาวได้ดีขึ้นโดยจะต้องมีการทบทวนอย่างต่อเนื่องในช่วงแรก
ข้อแนะนำการบันทึกการเรียนรู้ (Note Guideline)
โดยเทคนิคต่างๆที่จะนำเสนอต่อไปนี้นั้นอาจไม่เป็นกฎตายตัวเสมอไป ขึ้นกับลักษณะการเรียนรู้ของผู้บันทึกและสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับผู้บันทึกเอง โดยมีข้อแนะนำจากหนังสือ “Effective Collage Learning” ในหัวข้อ “Note Taking: Your Task in Class”[1] ออกมาดังนี้
1. การเลือกที่นั่งในการจดบันทึกขณะอยู่ในห้องเรียนหรือห้องการบรรยายต่างๆ ควรจะต้องเลือกที่นั่งด้านหน้าและอยู่ตำแหน่งกึ่งกลางเสมอเพื่อให้สามารถมองเห็นการสอนของผู้สอนได้ชัดเจนขึ้น มีสมาธิอยู่กับผู้สอนได้มากขึ้น
อ้างอิงภาพจาก http://www.brookings.edu
2. การตรวจสอบการบันทึกกับผู้สอนหรือกับผู้เชี่ยวชาญต่างๆ เพื่อเป็นการยืนยันข้อมูลที่ได้เรียนรู้ไปว่าถูกต้องครบถ้วนหรือไม่อย่างไร
3. การตั้งใจฟัง คิดตามและเริ่มลงมือบันทึก โดยอาจจะมีการตรวจสอบกับนักกระบวนกร (Facilitator)
4. การเว้นวรรคและการแบ่งย่อหน้า เพื่อให้เกิดการแบ่งข้อมูลต่างๆ ออกมาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
5. การใช้คำสำคัญ (Key Point) ในบางครั้งผู้สอนจะมีการแนะนำคำสำคัญเพื่อให้ผู้เรียนได้ค้นคว้าเพิ่มเติม ดังนั้นแล้วการบันทึกคำสำคัญนั้นจะประโยชน์ในการทบทวนและการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม
6. การบันทึกให้ผู้บันทึกเองอ่านได้ง่าย โดยอาจไม่จำเป็นต้องมีใช้หลักเกณฑ์ของแผนภาพมโนทัศน์หรือหลักเกณฑ์อื่นๆ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ให้เข้ากับลักษณะการอ่านของแต่ละคนให้เหมาะสม
ภาพอ้างอิงจาก http://www.netpresence.us
นอกจากข้อแนะนำต่างๆข้างต้นแล้วในหนังสือได้แนะนำวิธีการ (Method) ที่เป็นทางการขึ้นโดยแบ่งออกเป็น 4 วิธีการดังนี้
1. Cornell Method เป็นวิธีการที่คิดค้นโดย Dr. Walter Pauk จากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ โดยมีสาระสำคัญในการบันทึกคือการสร้างส่วนประกอบ 3 ส่วนหลักๆ คือส่วนการบันทึกทั่วไป (ช่องหนึ่ง), ส่วนคำถาม ข้อสงสัย ในระหว่างการบันทึก (ช่องสอง) และส่วนสรุปสาระสำคัญหรือคำสำคัญ (Key Point) โดยส่วนสุดท้ายนี้จะนำไปใช้ในการทบทวนการเรียนรู้และสรุปสาระสำคัญอีกครั้ง (ช่องสาม)
ภาพอ้างอิงจาก http://jacktsengs.blogspot.com/2011/01/cornell-method.html
2. Parallel Note เมื่อการเรียนการสอนนั้นผู้สอนมักจะใช้สื่อการสอนพวก Powerpoint, แผนภาพหรือรูปภาพอื่นๆ แต่ไม่ได้เกิดการขยายความของการนำเสนอเหล่านั้น การจดบันทึกด้วยวิธีนี้จะช่วยให้แยกส่วนระหว่างคำสำคัญของผู้สอนและส่วนขยายความตามความเข้าใจของผู้เรียน
ภาพแสดงการบันทึกในลักษณะ Parallel Notes โดยใช้สองหน้ากระดาษหรือสอง Column ในการบันทึกพร้อมกัน
ภาพแสดงการบันทึกในลักษณะ Discussion Column สำหรับช่วงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน
ภาพอ้างอิงจาก http://www.ccbcmd.edu/advising/probation_notetaking.html
การสนับสนุนให้เกิดการบันทึกการเรียนรู้เพื่อให้เกิดการจัดการองค์ความรู้ (Knowledge Management)
การจัดการองค์ความรู้ (Knowledge Management : KM) (อ้างอิงจาก Web Thaiall [2] ) คือ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด
การบันทึกการเรียนรู้นั้นนอกจากจะได้ประโยชน์แก่ตัวเองเป็นหลักในการทบทวนความรู้ของตัวเอง นำความรู้กลับมาศึกษาใหม่ได้รวดเร็วขึ้นแล้วยังสามารถนำความรู้เหล่านั้นมาเผยแพร่เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นต่อไปอีกด้วย แต่กระบวนการเหล่านี้จะต้องอาศัยบุคคลต่างๆ ที่จะต้องผลักดันและขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นตลอดเวลา ตั้งแต่ผู้บริหารที่เป็นผู้ริเริ่มและผลักดันให้เกิดการรวบรวมองค์ความรู้ และบุคคลากรภายในองค์กรเองที่ต้องการรวบรวมองค์ความรู้ของตัวเองและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกันเพื่อให้กลายเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้
ตัวอย่างการบันทึกการเรียนรู้ของผู้เขียน
ทางผู้เขียนเองได้เริ่มการบันทึกการเรียนรู้เพื่อต้องการทบทวนสิ่งที่ได้ดำเนินการที่ผ่านมาในประเด็นต่างๆ
เรื่องการจัดการ, เรื่องของกิจกรรมหรือวิธีการเรียนการสอน,
เรื่องทฤษฎีการเรียนรู้ต่างๆ และการบันทึกการบรรยายจากงานสัมมนาต่างๆ
ตามตัวอย่างที่ผู้เขียนเองจะยกมานั้นจะเป็นการเขียนบันทึกเพื่อรวบรวมข้อมูลก่อนการเขียนบทความนี้
ทางผู้เขียนเองชอบที่จะใช้กระดาษแบบไม่มีเส้น เพื่อให้สามารถเขียนตำแหน่งได้อย่างอิสระมากขึ้น แล้วใช้ปากกาสีต่างๆ เพื่อการแบ่งหมวดหมู่ออกให้ชัดเจน (จากมุมมองของผู้เขียนเอง) ทั้งนี้การบันทึกในลักษณะนี้จะไม่เน้นให้ผู้อื่นเข้ามาอ่านหรือทำความเข้าใจได้ (ให้ผู้เขียนเข้าใจเองคนเดียวเป็นหลัก) เพื่อให้ผู้อื่นสามารถอ่านองค์ความรู้ของคนเขียนได้จะต้องมีการเรียบเรียงและขยายความบางอย่างเพิ่มใหม่ ซึ่งอาจจะใช้เป็นลักษณะการเขียนบทความนี้ หรืออาจสร้างเป็น Poster ก็ได้เช่นกัน
สามารถติดตามบทความอื่นๆ ได้ใน Facebook ของผู้เขียนครับ https://www.facebook.com/rakrok12
เอกสารอ้างอิง
1. Jodi Patrick Holschuh and Sherrie L. Nist-Olejnik Effective Collage Learning Second Edition. DK Education. Longman Publishers. 2011.
2. การจัดการความรู้ (Knowledge Management). สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaiall.com/km/indexo.html
..... เป็น KM ...... ที่ดีจริงๆ ค่ะ ขอชื่นชม นะคะ
ชอบค่ะ นำไปใช้ได้เลย
ขอบคุณทุกกำลังใจครับ :)
ขอบคุณมากคะ เป็นบันทึกที่สวยงามข้อมูลครบถ้วน
ขออนุญาตอ้างอิงในการเขียนบทความใน gotoknow นะคะ :)
อ่านแล้วได้ความรู้มากๆ ขอนำไปเผยแพร่นะครับ
ชอบจังเลยค่ะ
อ่านเข้าใจ
และขอนำไปใช้นะคะ
ขอบคุณค่ะ
ยินดีครับ ขอขอบคุณที่เยี่ยมชมครับ :)