เจริญพร สาธุชนผู้มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา ห้วงเวลาระหว่างนี้ จนถึงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๖ อาตมาปฏิบัติศาสนกิจอยู่ในประเทศอินเดีย โดยนำพระภิกษุที่เข้าโครงการอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต) เดินทางไปศึกษาดูงาน จำกัดพื้นที่อยู่ที่ราชคฤห์ นาลันทา และสังเวชนียสถานที่ตรัสรู้ ณ มหาโพธิวิหาร พุทธคยา ทั้งนี้มีพระธรรมเมธาจารย์ พระธรรมปาโมกข์ เป็นประธานพระภิกษุสงฆ์ รวมเบ็ดเสร็จ ๗๕ รูป ที่เข้าร่วมฟังสวดศีลปาฏิโมกข์ เมื่อวันมาฆบูชาที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ณ พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นมหาวิหาร หรือวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา ที่พระเจ้าพิมพิสารได้น้อมถวายเป็นที่ประทับและที่พักของพระผู้มีพระภาคเจ้า และพระสงฆ์สาวก โดยคำกล่าวถวายที่ว่า...
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันขอน้อมถวายพระราชอุทยานเวฬุวันนั้น แด่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีพระพุทธองค์เป็นประธาน ขอพระ องค์ได้โปรดรับไว้ซึ่งพระอารามด้วยเถิด"
นับแต่บัดนั้นมา จึงได้มีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุสาวกรับอารามที่ศรัทธาญาติโยมสร้างถวายได้ ดังคำบาลีที่ว่า
อนุชานามิ ภิกฺขเว อารามํวันมาฆบูชาในชมพูทวีป (อินเดีย) ณ พระมหาวิหารเวฬุวัน ประจำปีนี้ จึงยิ่งใหญ่กว่า ๓ ปีที่ผ่านมา โดยมีพระนานาชาติชาวอิน เดีย (ทั้งที่บวชจริง มีปลอมแทรกเสริมอยู่ด้วย) ร่วม ๒๐๐ ชีวิต มาเสริมทัพ มีการประกอบศาสนกิจตั้งแต่เช้ามืดของวันใหม่ ณ พระคันธกุฎี ของพระผู้มีพระภาคเจ้า บนภูเขาคิชฌกูฏ ต่อเนื่องด้วยการบิณฑบาตของพระภิกษุสงฆ์จำนวนหลายร้อยรูปที่มาพร้อมกัน และออกเดินเท้าจากภูเขาคิชฌกูฏสู่พระมหาวิหารเวฬุวัน โดยมีวงขบวนดนตรีของ
นักเรียนในท้องถิ่นราชคฤห์ พร้อมนักเรียนชาย-หญิง รวม ๓๐๐ ชีวิต เข้าร่วมขบวนธรรมยาตราด้วย นับว่าเป็นภาพที่สวยงาม สะอาด ควรแก่ความเจริญเติบโตแห่งศรัทธาจิตของผู้พบเห็น
สิ่งที่สำคัญในงานมาฆบูชาประจำปีนี้คงจะได้แก่ ความร่วมมือจากหลายๆ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นด้านรัฐบาลไทย และรัฐบาลอินเดีย ผ่านสถานทูตทั้ง ๒ ประเทศ ตลอดจนองค์กรต่างๆ และประชาชนในท้องถิ่น จึงทำให้ได้รับเอกสารอนุญาตให้ใช้สถานที่พระวิหารเวฬุวันจัดงานมาฆบูชาปี พ.ศ.๒๕๕๖ และการอนุญาตให้พระธรรมทูตเข้ารับการศึกษาอบรมในเขตพระมหาวิหารเวฬุวันได้ ซึ่งโดยปกติจะห้ามมิให้ใช้เป็นสถานที่พักแรม นับว่าเป็นมหาอานิสงส์อย่างยิ่งของพระภิกษุสงฆ์ที่เข้ารับการอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธรรมยุต) รุ่นนี้ โดยมีหัวหน้าวิปรัฐบาลแห่งรัฐพิหาร สาธารณรัฐอินเดีย มากล่าวต้อนรับ ร่วมกับบุคคลสำคัญจากทางอินเดียหลายท่าน เช่น นายรัตนากา ไกรกวัต ซึ่งทำหน้าที่ Chief Information Commissioner แห่งรัฐมหาราษฎระ, นายอรุณ คาปูร์ ตลอดจน ดร.บาซันต้า บิดารี หัวหน้านักโบราณคดี แห่งลุมพินี ประเทศเนปาล ฯลฯ
การจัดงานมาฆบูชาประจำปีพุทธ ศักราช ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๔ นี้ ซึ่งรวมอยู่ในการศึกษาดูงานฝึกอบรมพระธรรมทูต (ธ) ฯลฯ จึงประสบความสำเร็จอย่างยิ่งต่อการสืบสานศาสนกิจ เผยแผ่ศาสนธรรม สืบเนื่องอายุพระพุทธศาสนา แม้จะต้องลงทุนในหลายๆ ด้าน แต่ก็คุ้มค่ายิ่ง อย่างยากจะประมาณ หากกล่าวถึงประโยชน์ที่เกิดขึ้นต่อพระพุทธศาสนา ซึ่งจะหมุนกงล้อสืบเนื่องอายุต่อไป เพื่อการอนุเคราะห์โลก... นี่คือกิจกรรมดีๆ ที่เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา ณ ถิ่นกำเนิดของพระพุทธศาสนา... ที่สาธุชนควรได้รับทราบ เพื่อกระทำการอนุโมทนา...
แม้อาตมาไม่สามารถเล่าให้ฟังได้ทุกเรื่อง เพราะมีมากเรื่องที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาอันสำคัญดังกล่าว แต่เพียงแค่ที่กล่าวเล่ามาก็น่าจะนำมาสู่ความซาบซึ้งปีติยินดีแก่ผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา... เพื่อแสดงให้เห็นข่าวสารที่มิใช่มีแต่ด้านลบที่มักปรากฏให้รับทราบอยู่เนืองๆ ในเรื่องราวด้านไม่ดีที่เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา จนศรัทธาถดถอยกันไปเป็นแถบๆ แวดวงพระพุทธศาสนา
จริงๆ แล้ว มิว่ายุคใดสมัยใดข่าวสารเรื่องราวต่างๆ ในศาสนาย่อมมีทั้งสองด้านเสมอ จึงขึ้นอยู่กับการรู้พินิจพิจารณา แยกให้ออกระหว่าง บุคคล... องค์กรพระศาสนา และพระธรรมคำสั่งสอน อันเป็นตัวพระพุทธ ศาสนาที่แท้จริง!! ซึ่งตัวพระพุทธศาสนานั้นเป็นอมตธรรม เที่ยงแท้ ไม่เคยแปรเปลี่ยน ไม่ว่ากาลใดสมัยใด แตกต่างไปจากบุคคลและตัวองค์กรพระศาสนาที่สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องเป็นปัจจัยอิงอาศัยกัน ทั้งนี้ เมื่อใดบุคคลในพระพุทธศาสนาเสื่อมถอย ขาดคุณภาพ ห่างไกลคุณธรรมความดี องค์กรหรือสถาบันพระศาสนาก็จะเศร้าหมองตกต่ำถึงสูญสิ้นไปได้ ซึ่งมิได้หมายความว่า ตัวพระพุทธศาสนา อันได้แก่พระธรรมวินัย จะเสื่อมสูญหรือเศร้าหมอง!! และแม้ว่าในความรุ่งเรืองเจริญเติบโตเข้มแข็งมั่นคงของบุคคลในพระศาสนาและสถาบันพระศาสนา ก็มิได้มีผลส่งเสริมให้ตัวพระพุทธศาสนาบริสุทธิ์ผุดผ่องไปมากกว่าที่เป็นอยู่ จึงไม่ต้องห่วงใยตัว พระ พุทธธรรม ที่ตรัสแสดงไว้ดีแล้ว อันมีอเนกอนันต์ในคุณประโยชน์จากความบริสุทธิ์บริบูรณ์ ในความหมายแห่งพระธรรมคำสั่งสอน ตลอดจนถึงพยัญชนะอักษรรูปศัพท์แห่งพระธรรม... นี่คือเหตุผลอันสำคัญยิ่ง ที่พระผู้มีพระภาคมิได้มอบหมายให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ทำหน้าที่แทนพระองค์เมื่อทรงดับขันธปรินิพพานไปแล้ว แต่ได้ทรงประกาศสถาป นาพระธรรมวินัย ทำหน้าที่แทนพระ องค์ ดังพระพุทธดำรัสที่ว่า ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยที่เราตถาคตแสดงไว้ดีแล้ว บัญญัติไว้ดีแล้ว ธรรมและวินัยนั้นจะเป็นศาสดาของพวกเธอ เมื่อเราตถาคตล่วงลับไปแล้ว
นี่คือ เหตุผลสำคัญอย่างยิ่งของพระ พุทธองค์ต่อการไม่ทรงมอบหมายให้บุคคลใด ทำหน้าที่เป็นศาสดาแทนพระองค์ ซึ่งมิได้หมายความว่า พระองค์ไม่วางพระหฤทัย แต่เพราะความไม่เที่ยงแท้แปรปรวนเปลี่ยนไปของสังขารธรรมทั้งหลาย อันต้องมีความเป็นอย่างนี้เป็นธรรมดา ไม่เปลี่ยนไปจากความ เป็นอย่างนี้ ในขณะที่อำนาจแห่งพระธรรมวินัย นั้น เป็นอำนาจธรรมที่เหนือสังขารธรรม แสดง ความเป็นสัจธรรมแห่งโลกวิสัยที่ตายตัวไม่เปลี่ยนแปลง ประกาศความเป็นจริงของโลกในรูปของ "ธรรมนิยาม" ที่เป็นเช่นนี้ เป็นอย่างนี้ ในทุกกาลสมัย เรียกว่า เป็นธรรมที่ไม่ตาย เที่ยงแท้ มั่นคง ไม่อยู่ในเงื่อนไขแห่งความเปลี่ยนแปลงผันผวนไปตามกระแส จึงทรงสถาปนาพระธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนพระองค์
จึงไม่ต้องไปแปลกใจ หากจะมีบุคคลใดๆ กระทำอะไรเพี้ยนๆ ผิดๆ ไปจากพระธรรมวินัย เพราะท่านเหล่านั้นยังไม่ถึงความเป็น "ตถาคต" นั่นหมายถึง ยังไม่ได้รับการสถาปนาเป็น "องค์พุทธะ" ด้วยอำนาจแห่งพระธรรมวินัยที่เข้าถึงกระแสชีวิตรวมลงสู่กระแสจิต จนรู้... ตื่น... เบิกบาน จึงไม่แปลกหากท่านเหล่านั้นจะหวั่นไหวกับกระแสแห่งโลก หลงใหลได้ปลื้มในโลกธรรม หรือตกอกตกใจหวั่นไหว เพราะความสูญสิ้นไปแห่งอำ นาจโลกธรรม
ดังนั้น ไม่ว่าได้รับรู้ ได้รับทราบ เรื่องราวใดๆ ก็พึงอย่าแปลกใจจนเสียจิต ให้พิจารณาว่า เป็นธรรมดา ความชั่วไม่เคยปราณีใคร หากใครๆ นั้นยังมีอำนาจความโง่ครอบจิตอยู่ ก็ต้องประพฤติปฏิบัติบ้าๆ บอๆ ไร้อริยวินัยให้เห็นเป็นเช่นนี้เอง
ไทยโพสต์ -- ศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2556
ไม่มีความเห็น