กริยาบอกเหตุ
กริยาบอกเหตุ หรือกริยาที่เป็นสาเหตุให้เกิด (causative) หรือ ณิชันตะ (บาลีว่า เหตุกัตตุวาจก) เราเคยเรียนมาพอสมควรแล้ว
ทบทวนเล็กน้อย
ในที่นี้มีกติกาเพิ่มเติม ดังนี้
1. ธาตุที่ลงท้ายด้วย อา และ ฤ จะเติม “ปฺ p” ก่อนลงปัจจัย อย ตำราเก่าๆ แปลว่า “ยังให้” เราอาจใช้ตามไปก่อนก็ได้ หรือจะแปลว่า “ทำให้” “สั่งให้” แล้วแต่กรณี
2. ธาตุที่ลงท้ายด้วย อิ และ อี จะเติม “ป” เช่นกัน แต่มีการเปลี่ยนเสียงเล็กๆ น้อยๆ เช่น
√อิ+อธิ = อธฺยาปยติ (อธิ+อี= อธี => อธายฺ +ปฺ+อย+ติ = อธายฺปยติ => อธาปยติ>) รูปพิเศษ
3. สระอะ ที่ต้นหรือกลางธาตุ เมื่อเป็นเสียงเบา(ลฆุ) คือไม่มีพยัญชนะตามมา จะยืดเสียง แต่ไม่ยืดก็มี เช่น
ธาตุส่วนใหญ่ที่ลงท้าย -อมฺ -ชนฺ -ตฺวรฺ -ปฺรถฺ -วฺยถฺ (อื่นๆ อีกเล็กน้อย) มักจะลง อะ ไว้ ไม่ยืดเป็น อา
4. กริยาบอกเหตุบางคำ มาจากนาม (นามธาตุ) แต่นักไวยากรณ์อินเดียว่าเปลี่ยนรูปมาจากธาตุ
*** กริยาที่ให้ไว้ในแต่ละบท ล้วนเป็นกริยาที่สำคัญ ทั้งรูปพิเศษต่างๆ ควรจำให้ได้***
5. กรรมวาจกของกริยาบอกเหตุ เราพูดกันไปแล้วในบทก่อนๆเช่น
6. รูปแบบกริยาบอกเหตุ มีสองแบบดังนี้
กริยาในที่ควรรู้
แบบฝึก
แปลสันสกฤตเป็นไทย
1. สฺถาปย 2.อาชฺญาปยติ 3.ศฺราวเยสฺ 4.ปริธาปเยยุสฺ 5.มารยนฺติ 6.ปฺราสฺถาปยนฺ
ข้อ 2 ...
- { อธิ (อุปสรรค) + √อิ (ธาตุ) } = อธี (สนธิ)
ที่งงคือว่าแล้ว อธี กลายเป็น อธายฺ เพราะสนธิอะไรค่ะ หรือเอาอธีไปทำพฤทธิ์
อาจารย์ค่ะ มนต์พระสรัสวตีขอวันนี้นะค่ะ อิอิ
แล้วแต่อาจารย์จะสะดวกให้บทไหนก็ได้คะ ถ้าไม่ทัน กวจ
ขอบพระคุณคะ
सरस्वतीं देवयन्तो हवन्ते सरस्वतीमध्वरे तायमाने । सरस्वतीं सुकृतो अह्वयन्त सरस्वती दाशुषे वार्यं दात् ॥७॥ सरस्वति या सरथं ययाथ स्वधाभिर्देवि पितृभिर्मदन्ती । आसद्यास्मिन्बर्हिषि मादयस्वानमीवा इष आ धेह्यस्मे ॥८॥ सरस्वतीं यां पितरो हवन्ते दक्षिणा यज्ञमभिनक्षमाणाः । सहस्रार्घमिळो अत्र भागं रायस्पोषं यजमानेषु धेहि ॥९॥ฤคเวท มัณฑละที่ 10 สูกตะที่ 17 มันตระที่ 7-9
7. เหล่าสาธุร้องเรียกพระสรัสวตี พวกเขาบูชาพระสรัสวดีขณะการสังเวยดำเนินไป
เหล่าสาธุร้องเรีบกพระสรัสวตีแต่ก่อน พระสรัสวตีประทานพรแก่เขาผู้ให้
8. พระสรัสวตี ผู้มาพร้อมบรรพบรุษ ขอสำราญกับเครื่องสังเวยของเรา
โปรดประทับบนหญ้าศักดิสิทธิ์โดยสำราญ และประทานอาหารเพื่อเราจักไม่เจ็บป่วย
9. พระองค์ เหล่าบรรพบุรุษได้ร้องเรียกพระสรัสวตี ผู้มาสู่พิธีของเรา
โปรดประทานอาหารและความมั่งคั่งแก่ผู้สังเวย ณที่นี้ อันเป็นส่วนค่านับพัน
อธี ทำพฤทธิตามข้อบังคับ สระท้าย ก่อนลงอยะ
โอ้ ขอบพระคุณอาจารย์มากๆคะ ^ ^
เดี๋ยวว่างๆหนูจะลองมานั่งแยกสนธิ จากบทข้างบนนี้ดูนะค่ะ
ศัพท์ยาก ไวยากรณ์ยุ่ง แปลพอได้ความเฉยๆ ครับ
- { √อศฺ กิน.} คำนี้ไม่ยืดเสียงก็ได้ใช่ไหมค่ะ เข้ากฎข้อสาม หรือว่าให้จำรูป อาศยติ ไว้เพราะนิยมใช้มากกว่า
- { √กฺฦปฺ เตรียม กลฺปยติ } ทำไมเป็น ล ละค่ะ ทำอะไรกับตัว ฦ หรือเปล่า
- { √นี+อป นำไป [เหตุ] อปนายยติ } ทำไมถึงเป็น นาย เสียงอาละคะ
อปนี ทำคุณ อปเน + อย = อปนยฺ
- { √มฺฤ ตาย. [เหตุ] มารยติ } ข้อนี้เข้ากฎข้อหนึ่งหรือเปล่าค่ะ ลงท้ายด้วย ฤ ก็ทำคุณที่สระต้นธาตุ
แต่ มารยติ รูปนี้ของอาจารย์เหมือนเอาไปทำพฤทธิ์เลยคะ แถมไม่เติม ปฺ ตามกฎข้างบนอีก
- 3. สระอะ ที่ต้นหรือกลางธาตุ เมื่อเป็นเสียงเบา(ลฆุ) คือไม่มีพยัญชนะตามมา จะยืดเสียง แต่ไม่ยืดก็มี
ข้อนี้เห็นว่าจะจำตามกฎไม่ได้แล้วมั้งคะ เพราะบางคำก็ไม่เป็นไปตามกฎ คงต้องจำรูปเค้ากริยาสำเร็จไปเลย
อาจารย์ว่าอย่างไรค่ะ อย่าง ยชฺ นี่ถือว่ามีพยัญชนะตามาไหมค่ะ คือว่าเดี๋ยวยืดเดี๋ยวไม่ยืดหนูงงค่ะ
- ควรจะจดธาตุทั้งหมดเหล่านี้ไว้ในหมวดที่สิบใช่ไหมค่ะ แล้วเขียนกริยาบอกเหตุกำกับไว้ด้วย
- √ศฺรุ ได้ยิน, [เหตุ] ศฺราวติ ทำไมเป็น อา ละค่ะ ที่หนูยัง งง คือ ไอที่ยืด อะ เป็น อา เนี่ยละคะ สับสนจัง
- ไสยาสน์ , อนันตศายิน มาจากคำใดในสันสกฤตคะอาจารย์ แปลว่านอนหรือเปล่าคะ ทั้งยังมีคำอื่นที่คล้ายกันอีกไหมเอ่ย ?
- นึกออกว่าเขาพนมรุ้งมีอีกชื่อว่า “รมยคีรี '' (ภูเขาที่น่ารื่นรมย์- แก่การบำเพ็ญพรต) เหมือนคำที่เรียนกับอาจารย์มาเลย
ป.ล. ช่วงนี้ดูหนังฮินดีแล้วสนุกมากคะ บางคำฟังพอรู้เรื่องบ้าง เพราะได้ศัพท์สันสกฤตที่มาเรียนกับอาจารย์
แม้จะไม่รู้เรื่องทั้งหมดก็ตาม มันขึ้นซับอิ้งตาเราก็ดู หูเราก็ฟังเสียงไปด้วย บางคำเหมือนสันสกฤตมาก
ว่าแต่ในภาษาฮินดีนี่ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นแล้วมีสันสกฤตอยู่ประมาณเท่าไหร่ค่ะ ไม่นับคำยืมพวก อาราบิค เปอร์เซีย อังกฤษ
กริยาบอกเหตุมีข้อยกเว้นมาก ส่วนหนึ่งคงเพราะต้องการหลบไม่ให้สับสนกับการเติม ย ในกรณีอื่น จึงต้องจำมาก
กติกานั้นให้ดูตามบทก่อนที่เคยพูดมาแล้ว ในบทนี้จะเป็นกรณีพิเศษ และเพิ่มเติม
อศฺ ต้องใช้ อาศยติ ครับ (ปกติทำวฤทธิ สระ อะ ที่ตามด้วยพยัญชนะตัวเดียว)
สระ ฦ ทำคุณเป็น อลฺ ทำวฤทธิเป็น อาลฺ
นี ทำ วฤทธิ เพราะเป็นสระท้่าย
มฺฤ ทำวฤทธิ เพราะเป็นสระท้าย นี่เป็นกรณีส่วนใหญ่, ส่วนที่ทำคุณแบบ ธาตุ ฤ นั้นมีน้อย
ยชฺ yaj ถือว่าสระ อะ มี ชฺ ตามมา (แต่ไม่ใช่พยัญชนะซ้อน อะ เป็นสระกลาง.) กรณีที่อะ ตามด้วยพยัญชนะตัวเดียว ส่วนมากทำวฤทธิ กรณีนี้ดูเหมือนจะเขียนไว้แล้วในตอนที่พูดถึงกริยาบอกเหตุครั้งแรก บทก่อนๆ
(พยางค์หนักคือ สระเสียงยาว และสระสั้นที่ตามด้วยพยัญชนะซ้อน ที่เหลือเป็นพยางค์เบา)
ศฺรุ สระท้าย ทำวฤทธิ śru =>śrāu + aya = śrāvaya- ข้อนี้ปกติ (ภาษาไทยเขียนผิด แก้แล้ว)
จดไว้เป็น causative ดีกว่า เพราะถ้าจดเป็นหมวด 10 จะงงไสยาสน์, เทียบ ภาษาสันสกฤต มาจากธาตุ ศี แปลว่านอน, ไสยาสน์ เป็นคำสมาสจากคำบาลีครับ (เสยฺย + อาสน). เทียบสันสกฤตคงจะได้ ศาย+อาสน
ศายินฺ ก็แปลว่านอน มาจาก ศี เหมือนกัน คำคล้ายกันยังนึกไม่ออก
คำฮินดีน่าจะมีเกินครึ่งจากภาษาสันสกฤต แต่รูปและเสียงเปลี่ยนไปครับ
แบบฝึก
แปลสันสกฤตเป็นไทย
1. สฺถาปย = เธอจงหยุด
2.อาชฺญาปยติ = เขาสั่ง
3.ศฺราวเยสฺ = ท่านพึงได้ยิน
4.ปริธาปเยยุสฺ = ท่านทั้งหลายควรจะสวมเสื้อผ้า
5.มารยนฺติ = เขาทั้งหลายฆ่า
6.ปฺราสฺถาปยนฺ = เขาทั้งหลายได้ส่งไปแล้ว
ถูกหมดครับ ขึ้นบทใหม่เลย.
ข้อ 6 นึกว่าจะตอบไม่ถูกซะอีก ;)
ปฺฤถิวฺยามีศฺวระ ชนาญชนยติ = พระผู้เป็นเจ้ายังชนทั้งหลายให้เกิดมาบนโลกใบนี้
ชนา ธรฺมํ สาธุภิะ ศฺราวฺยนฺเต = ชนทั้งหลายถูกยังให้ได้ยินซึ่งธรรมะโดยเหล่านักบุญ
พอได้ไหมค่ะ ?
ปฺฤถิวฺยามีศฺวโร ชนาญฺชนยติ .
ชนา ธรฺมํ สาธุภิะ ศฺราวฺยนฺเต.
เก่งมากครับ