Coaching and Mentoring กับการก้าวสู่ AEC
ใน ปี ค.ศ. 2015 หรือ พ.ศ. 2558 กลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งประกอบด้วย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์และบรูไน จะก้าวเข้าสู่ การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEANEconomic Community) หรือ AEC ซึ่งเป็นหนึ่งในสามเสาหลักของการจัดตั้งประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) โดยอีก 2 เสาหลักคือ เสาหลักด้านการเมืองและความมั่นคง (Political and Security Pillar) และเสาหลักด้านสังคมและวัฒนธรรม (Socio-Cultural Pillar) การรวมตัวเป็น AEC นำไปสู่การเปิดเสรีสินค้าและบริการ 11 สาขา (Priority sectors) ได้แก่การท่องเที่ยว การบิน ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ไม้ ผลิตภัณฑ์ยางสิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกษตร ประมง เทคโนโลยีสารสนเทศและสุขภาพ เป้าหมายสำคัญของ AEC คือการพัฒนาสู่การเป็นเขตการผลิตเดียวตลาดเดียว(Single market and production base) ที่สามารถเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิตได้อย่างเสรีและสามารถดำเนินการในกระบวน การผลิตรวมทั้งใช้ทรัพยากรจากประเทศกลุ่มอาเซียนมาร่วมในการผลิตสินค้าที่มี มาตรฐานได้ทั้งวัตถุดิบและแรงงานภายใต้กฎเกณฑ์กฎระเบียบเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับอาเซียนและเพื่อชะลอ การเปิดการค้าเสรีของสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศยุโรปที่พยายามจะรุกเข้ามา ในตลาดอาเซียน
เพื่อให้การดำเนินการมีความชัดเจนขึ้น จึงมีการมอบหมายให้ประเทศในกลุ่มอาเซียน ทำหน้าที่รับผิดชอบเป็นผู้ประสานงานหลัก (Country Coordinators) ได้แก่ พม่ารับผิดชอบสาขาผลิตภัณฑ์เกษตร (Agro-basedproducts) และสาขาประมง (Fisheries) มาเลเซียสาขาผลิตภัณฑ์ยาง (Rubber-based products) และสาขาสิ่งทอ (Textiles and Apparels) อินโดนีเซียสาขายานยนต์ (Automotive) และสาขาผลิตภัณฑ์ไม้ (Wood-basedproducts) ฟิลิปปินส์สาขาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics) สิงคโปร์สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ (e-ASEAN) และสาขาสุขภาพ (Healthcare) ไทยสาขาการท่องเที่ยว (Tourism) และสาขาการบิน (Air Travel) มีการจัดทำAEC Blueprint ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญสี่ประการคือ การเป็นตลาดเดียวและฐานการผลิตร่วมกัน การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของอาเซียน การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเสมอภาค และการบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลกซึ่งหมายถึงการทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายอย่างเสรีใน 5 สาขาได้แก่สินค้า บริการการลงทุนแรงงานฝีมือและเงินทุน โดยมีการอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน อาทิกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า พิธีการศุลกากร มาตรฐาน (standard and conformance) การอำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง และ logistics service การอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวในอาเซียน และการเคลื่อนย้ายของนักธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ประกอบวิชาชีพ และแรงงานมีฝีมือ เป็นต้น
ผลกระทบจากการเปิดเสรีด้านสินค้าและบริการ คือผู้ประกอบการต้องหันมาแข่งขันด้านคุณภาพของสินค้าและบริการแทนการแข่งขัน ด้านราคาผ่านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity & Innovation) ด้านการลงทุน ผู้ประกอบการสามารถขยายหรือย้ายฐานการผลิตไปยังกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ได้อย่างเสรี ด้านการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือ การเปิดเสรีจะทำให้แรงงานฝีมือในอาเซียนย้ายจากประเทศที่มีค่าแรงหรือค่าตอบ แทนต่ำไปยังประเทศที่มีค่าแรงหรือค่าตอบแทนต่ำสูงกว่าและมีการใช้ภาษาอังกฤษ อย่างแพร่หลาย มีผลให้ในอนาคตบางประเทศในกลุ่มอาเซียนอาจขาดแคลนแรงงานฝีมือในบางสาขา ในขณะเดียวกันอาจจะมีแรงงานฝีมือบางสาขาเข้ามาแย่งงานประชาชนในประเทศมาก ขึ้น การเปิดเสรีด้านเงินทุนจะมีการเร่งพัฒนาตลาดทุนร่วมกันจนนำไปสู่การรวมตัว ของตลาดทุนในอาเซียนและยินยอมให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนโดยเสรีมากขึ้น
ภายใต้ "ประชาคมอาเซียน"การปรับตัวรองรับ AEC จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพะอย่างยิ่งการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมืออย่างเสรีจะส่งผลให้การแข่งขันบุคลากรวิชาชีพต่างๆในตลาดแรงงานเป็นไปอย่างเข้มข้นกลุ่มประเทศอาเซียนจะต้อง มีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการจากเดิมจำกัดอยู่เฉพาะในประเทศ เป็นการผลิตข้ามประเทศ ปรับเปลี่ยนยุทธวิธีในการทำธุรกิจโดยแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจในภูมิภาค เพื่อช่วยให้การผลิตมีประสิทธิภาพ จัดทำแผนทางธุรกิจใหม่โดยเร่งด่วนเพื่อรองรับโอกาสที่ปัจจัยการผลิตสามารถ เคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี ในส่วนของผู้ประกอบการต้องเตรียมความพร้อมรองรับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทาง เศรษฐกิจ โดยเฉพาะความพร้อมของ "ทุนมนุษย์" (Human Capital) ที่ต้องมีคุณสมบัติสอดคล้องกับการแข่งขันทางการค้าในบริบทของเศรษฐกิจใหม่ รวมทั้งมีการสร้าง "ทุนทางปัญญา" (Intellectual Capital) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสร้างแบรนด์ (Branding) การสร้างวัฒนธรรม (Culture) สมรรถนะของพนักงานในองค์กร (Competency) ความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness) การดูแลรักษาคนเก่งขององค์กร (Talent)ฯลฯ ซึ่งเป็นที่มาของความมั่งคั่งใหม่ (New wealth) ในยุคเศรษฐกิจแห่งนวัตกรรมและสังคมแห่งการสร้างสรรค์ (Innovative economy &Creative society)
AEC จะนำไปสู่การทำงานร่วมกันบนพื้นฐานความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม เชื้อชาติภาษา ของพนักงานในองค์กรกับพนักงานใหม่ข้ามชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม เชื้อชาติ ภาษา ที่แตกต่างกัน อาจส่งผลให้เกิดการรับรู้ที่แตกต่างและช่องว่างตามมา ปัญหาที่พบได้บ่อยคือปัญหาด้านการสื่อสารซึ่งนับว่ามีความสำคัญเพราะมักก่อ ให้เกิดความเข้าใจผิดพลาด การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและประสิทธิผลขององค์กรจึงต้องให้ความสำคัญ กับการทำงานบนพื้นฐานความแตกต่างดังกล่าวข้างต้น
จากการสำรวจพบว่า องค์กรภาคเอกชนในหลายประเทศแถบยุโรปและอเมริกาต่างได้นำเอาระบบ Coaching and Mentoring มาเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยลดปัญหาและช่องว่างดังกล่าว โดย Coaching and Mentoring จะเป็นเครื่องมือในการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้สอนกับผู้ถูกสอน และความสัมพันธ์อันดีต่อกันนี้จะเป็นกุญแจสำคัญนำไปสู่ความไว้วางใจให้เกิด ขึ้นตามมา ด้วยเหตุนี้ Coaching and Mentoring จึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ได้รับความนิยมและมีการนำไปใช้อย่างกว้างขวางตลอด ระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในการพัฒนาความรู้ความสามารถและสมรรถนะของหัวหน้างาน ใหม่ที่เป็นชาวต่างชาติ
ความแตกต่างระหว่าง Coaching และ Mentoring คือ Coaching เป็นการจัดกิจกรรมการฝึกสอนเรื่องงาน ในห้วงเวลาสั้น ๆ มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน โดยมีผู้ทำหน้าที่เป็น Coach คอยกำกับดูแลและกำหนดการเรียนรู้ที่ต้องการพัฒนา เน้นการให้ข้อมูลย้อนกลับ ความคิดเห็นการอภิปรายและข้อเสนอแนะที่ชัดเจน ดังนั้นผู้ทำหน้าที่เป็น Coach จะต้องแจ้งให้ผู้รับการฝึกรับรู้วิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมายขององค์กรอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้รับการฝึกสามารถปฏิบัติงานในหน้าที่หรือตำแหน่งที่ได้รับมอบหมาย มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันกับองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการพัฒนาผลการปฏิบัติงานและผลผลิตขององค์กร ในขณะที่ Mentoring จะมุ่งเน้นที่ตัวบุคคลให้เกิดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพในการคิดและ ปฏิบัติงานรับรู้ผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับงานมากกว่าตัวเนื้องานโดยมีพี่ เลี้ยงหรือ Mentor ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย (Facilitator) ให้ผู้เรียนสามารถมองภาพทั้งหมดขององค์กรได้อย่างชัดเจนและสามารถผ่านจากจุด ที่ไม่รู้ไม่เป็น สู่จุดที่รู้ คิดเป็นและทำเป็น โดยผู้เรียนเป็นผู้กำหนดความต้องการและการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อที่ จะเพิ่มศักยภาพ พัฒนาทักษะตามที่ตนเองต้องการและสามารถสะท้อนผลการเรียนรู้ได้ ผู้เรียนมักเป็นสมาชิกใหม่ขององค์กร ผู้ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงหรือ Mentor จึงต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มีองค์ความรู้ มีทักษะในการทำงานและมีเจตคติที่ดีต่อองค์กร สามารถเป็นแบบอย่าง (Role Model) ให้กับสมาชิกใหม่และพร้อมที่จะแนะนำถ่ายทอดแบ่งปันทักษะประสบการณ์ของ ตนMentoringจึงเป็นการเรียนรู้แบบผู้ใหญ่ (Adult learning) และมักมีความสัมพันธ์ยาวนานกว่า Coaching การบูรณาการระบบ Coaching และ Mentoring เข้าด้วยกันจะส่งผลให้ผู้ได้รับการพัฒนาได้รับการดูแลแบบองค์รวม (Holistic) อย่างเป็นระบบCoaching and Mentoring จึงเป็นเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับจากหลาย ๆ องค์กรว่ามีประสิทธิภาพสูงในการพัฒนาคนโดยเฉพาะการพัฒนาภาวะผู้นำสู่การ พัฒนางานและเป้าหมายขององค์กร กล่าวอีกนัยหนึ่ง Coaching and Mentoringเป็นเครื่องมือที่พัฒนาได้ทั้งตัวบุคคลและผลลัพธ์ขององค์กร โดยตัวบุคคลจะเกิดความมั่นใจ ความเชื่อมั่นในตนเอง และยังเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดประสบการณ์และแรงบันดาลใจที่ดี อีกทั้งเกิดความรู้สึกปลอดภัยในบทบาทใหม่ที่ท้าทายของตนเองได้
สำหรับ ประเทศไทยการเตรียมพร้อมในการก้าวสู่ AEC อย่างเข้มแข็งนั้น นัก HR จึงไม่ควรมองข้ามระบบ Coaching and Mentoring ที่น่าจะนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงานร่วมกันกับ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ประกอบวิชาชีพ และแรงงานมีฝีมือจากกลุ่มประเทศอาเซียนได้ทั้งนี้ภาครัฐและผู้ประกอบการเอง จะต้องให้ความสำคัญเร่งด่วนในการเตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบการคมนาคม ระบบสื่อสาร สาธารณูปโภค การศึกษา และมีนโยบายสนับสนุนที่เข้มแข็งควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อม "ทุนมนุษย์" (Human Capital) เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นทั้งระบบโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านภาษา ซึ่งถือว่าเป็นจุดอ่อนสำคัญของคนไทยที่จะส่งผลให้เกิดข้อเสียเปรียบคู่แข่ง จากกลุ่มประเทศอาเซียนได้อีกทั้งความแตกต่างของเชื้อชาติภาษาและวัฒนธรรม เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องเรียนรู้เพื่อรองรับความหลากหลายของแรงงานข้ามชาติการ เรียนรู้ยอมรับและปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของกันและกันเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับการเปิดตลาดก้าวสู่โลกไร้พรมแดนผู้ประกอบการไทยต้องให้ความสำคัญกับ การบริหารจัดการวัฒนธรรมข้ามชาติซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ธุรกิจประสบ ความสำเร็จได้
____________________
ดร.คนึงนิจ อนุโรจน์ :
ไม่มีความเห็น