รถยนต์หลายขนาด หลากประเภท จอดชิดข้างทางเขตติดต่อข้ามดินแดนไปฝั่งลาวปล่อยกลิ่นควันออกเป็นระยะๆ ผู้แทนกลุ่มสามสี่คนเดินลงไปเจรจา-ต่อรองกับตัวแทนบริษัทที่มาติดต่อ-ขอให้บริการ กว่าจะตกลงกันได้ใช้เวลาไปกว่า 20 นาที ข้อมูลสรุปไม่ชัดเจนเพราะไม่ได้รับการบอกกล่าวอย่างเป็นเรื่อง-เป็นราว เนื่องจากการต่อรองพลิกไป-เปลี่ยนมาอยู่หลายครั้ง รับรู้แต่ว่า ให้เขาทำใบผ่านแดนและบริการรถรับ-ส่งพร้อมพาไปเที่ยว 4 จุด
งานนี้น้องชายหอบหิ้วลูกชายฝรั่งสัญชาติอิตาเลียน
นักเรียนแลกเปลี่ยนโครงการเอเอฟเอส ไปด้วย
จึงต้องใช้เวลาไปทำ Re-Entry และกรอกฟอร์มขอวีซ่าเข้าประเทศลาว
-รอจ่ายเงินที่ด่านรวมเวลาที่ใช้ไปกว่า 1 ชั่วโมง
แถมมีการเจรจาต่อรองกับบริษัทอีก สอง-สามรอบ เพราะมีปัญหาเรื่องต้องรอรถที่จะให้บริการนานเกือบสองชั่วโมงเนื่องจากจำนวนรถที่จะให้บริการมีไม่พอ ตัวแทนบริษัทกล่าวว่า " หากรีบไปจริง ยกเลิกทางนี้ไปหารถที่ฝั่งลาวก็ได้ " ปัทโธ่อุตส่าห์ยอมจ่ายค่าบริการทำใบผ่านแดนให้คนละ
สองร้อยกว่าบาท ทั้งๆที่ถือพาสปอร์ตเตรียมพร้อมอยู่แล้ว เสียเวลารอคอยไปหนึ่งชั่วโมงสามสิบนาที แล้วยังต้องเสียเวลาไปเจรจาหารถที่ฝั่งประเทศลาวอีกมันคุ้มไหมเนี่ย …. ...
สรุปว่ายอมจ่ายเพิ่มอีก 300 บาท จึงได้ไปเพราะเปลี่ยนรถเป็นสองคันแทนรถมินิบัส งานนี้ได้บทเรียนว่า การติดต่อเรื่องใดๆ ก็ตามควรเขียนข้อตกลงให้เป็นลายลักษณ์อักษร จะดีที่สุด มิเช่นนั้นอาจมีการพลิกผัน ไม่เป็นไปตามข้อตกลงที่คุยกันไว้
รถสองคันจอดเทียบท่าฟุตบาธโรงแรม ในเวลาเกือบสามโมงเย็น สภาพของ โรงแรมเก่าได้ใจจริงๆ การติดต่อผ่านทางเวปไซต์หากดูจากรูปเพียงอย่างเดียวคงยากจะรู้สภาพที่แท้จริง แต่ร่องรอยของความงดงามก็ยังปรากฏ ให้เห็น พอที่จะหักลบกับการไต่บันไดขึ้นไปถึงชั้นที่ 4 และทนรับสภาพกับความเก่าของเครื่องใช้ เถอะน่า...ก็พักแค่ชั่วคืน
การตกแต่งห้องพักของโรงแรม / โต๊ะรับแขกไม้ไผ่ตั้งอยู่ล็อบบี้ของโรงแรม
สถานที่แห่งแรกที่รถพาไปเยือนคือ ร้านขายเครื่องเงิน แต่คณะฯปฏิเสธิ์รายการนี้
ทั้งๆที่รถไปจอดเทียบสถานที่แล้ว...ใจนึกไปถึงทัวร์เกาหลีกับทัวร์จีนที่มีการบรรจุรายการรัฐฯขอมาแกมบังคับให้พานักท่องเที่ยวทุกคณะฯ
ไปเยี่ยมชมโรงงาน- บริษัทที่ผลิตสินค้า ฯ เพื่อทำการประชาสัมพันธ์และขายสินค้า
การทำเช่นนี้นับว่าไม่เสียปล่าวเพราะสังเกตเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวไม่ต่ำกว่า
3-4 รายของแต่ละคณะฯ ต่างอุดหนุนสินค้า-
ประคองถุง/กล่องติดมือไปกันรายละ 2-3 ถุง/กล่องก็มี,
พิพิธภัณฑ์หอพระแก้วรูปทรงสง่า / ทางเดินเท้าปูด้วยอิฐมอญ
คณะของตนไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์หอพระแก้วซึ่งเป็นสถานที่รวบรวมวัตถุโบราณและสิ่งของล้ำค่าของลาวและเคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตเมื่ออดีต ภายในมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐาน และวัตถุโบราณพอประมาณ ส่วนภายนอกที่ดูเด่นคือหลังคาทรงสูงและการแกะสลักพระพุทธรูปและบานประตูไม้ สภาพยังดูดีเพียงแต่ไม่มีการฉาบสี-ทาสี
จึงมองดูค่อนข้างเก่า
การแกะสลักประตูไม้ หน้าบัน....ลวดลายอ่อนช้อย - งดงาม
พระพุทธรูปองค์ใหญ่สร้างด้วยโลหะ... งดงามตามแบบศิลปของลาว
หม้อใบยักษใหญ่กว่าตัวผู้เขียน - หินแกะสลักพระพุทธรูปวางให้ชมด้านนอก
พระพุทธรูปประดิษฐานรอบอาคาร - ชุดเครื่องแบบนักเรียนของลาว
พระธาตุหลวง เป็นแหล่งที่สองที่คณะฯ
ได้ไปเที่ยวชม ณ สถานที่นี้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนหัวหน่าวของพระพุทธเจ้า ฉาบด้วยสีทอง-เหลืองอร่ามดูงดงาม เป็นที่เชิดหน้าชูตาให้กับเวียงจันทร์ได้ไม่น้อยหน้าที่อื่น ฝูงชนมากราบไหว้สักการะบูชากันมากมายพอสมควร ถัดไปเป็นวัดที่มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์รูปลักษณ์สง่างามประดิษฐานให้ชม
ขนาดของความใหญ่โตของพระพุทธรูปสีเหลืองอร่าม มองเห็นอย่างชัดเจนตั้งแต่ก้าวสู่อาณาบริเวณพระธาตุหลวง
ช่วยดึงดูดสายตาให้นักท่องเที่ยวมาสักการะได้เป็นอย่างดี
วัดพระธาตุหลวง - เศียรพระปูนปั้นประดิษฐานด้านใน
ทัศนียภาพงดงามตา - ปูนปั้นพญานาคแกะเกล็ด-ชัดลึกสวยงาม
การตกแต่งประตูของวัดที่ประดิษฐานพระนอนองค์ใหญ่ / เรือหางยาวลำใหญ่คล้ายพญานาค
ประตูไช
เป็นสถานที่สุดท้ายที่ได้แวะชมเมื่อยามแสงอาทิตย์อัสดง
ตัดสะท้อนน้ำพุเป็นวงกว้างดูงดงาม มีการปลูกต้นไม้ตกแต่งอย่างเป็นระเบียบ
ตั้งม้านั่งให้พักผ่อน-หย่อนใจบนลานกว้าง
จุดประสงค์ของการสร้างประตูไชนั้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึงการปลดปล่อยอิสรภาพจากประเทศอาณานิคมเป็นเวลากว่า 36
ปี ความสูงใหญ่ของประตูแสดงให้เห็นถึงพลังของความเข้มแข็ง
และความแกร่งของจิตใจของชาวลาว ณ ปัจจุบัน
ข้างๆ ประตูไชเป็นอาคารโอ่อ่าสร้างด้วยสถาปัตยกรรมที่ดูมีระดับ คล้ายกับสถานที่ราชการของประเทศไทย ความมืดเริ่มแผ่คลุมทั่วอาณาบริเวณ เป็นการเร่งรัดให้คณะฯ เร่งรีบกลับที่พักกันโดยอัตโนมัติ์ เพราะบางคนชอบให้ธรรมชาติเป็นตัวกำหนดกิจธุระตามสัญชาติญาณ
เช่นพอเห็นเข็มนาฬิกาชี้ที่เลข 12 รู้สึกว่าท้องต้องการอาหาร เมื่อหมดแสงส่องของดวงสุริยัน ต้องรีบกลับไปพักผ่อน ฯลฯ
น้ำพุวงใหญ่ตั้งกลางลานกว้างหน้าประตูไช / อาคารรูปทรงสง่างาม
แสงสียามค่ำคืนในวันสุดท้ายของปีมะโรงงูใหญ่ ณ เวียงจันทร์ ....เมืองหลวงแห่งลาว สว่างไสวอยู่แค่ไม่กี่แห่ง มีการจัดแต่งประดับประดากันเฉพาะโรงแรมใหญ่ๆ แสงไฟกระพริบพร่างพราว สีสันสวยงามละลานตา ต่างไปจากโรงแรมเล็กๆ ที่เป็นเหมือนปกติราวกับไม่ได้ให้ความสำคัญกับเทศกาลปีใหม่ ดังเช่นหลายๆ ประเทศ ที่เฉลิมฉลองกันอย่างใหญ่โต
โรงแรมหรู ตกแต่งประดับไฟละลานตา / ลานน้ำพุใจกลางเมือง...สถานที่จัดกิจกรรม Count Down
ณ ปี พ.ศ. 2556 ลาว...ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง...แต่เป็นแบบค่อยเป็น-ค่อยไป....
ไม่ได้หวือหวาทุ่มทุนสร้างโครงการอภิมหาโปร์เจค เฉกเช่นหลายๆประเทศที่เติบโตราวกับพืชผักที่เร่งใส่ปุ๋ยสูตรพิเศษ การพัฒนาด้านอาคารสถานที่และเทคโนโลยีจึงไปลิ่วสุดโต่งทิ้งช่วงห่างไปจากการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ .... สังคม ณ กาลปัจจุบันจึงรู้จักแต่ที่จะเสพย์ โดยขาดความตระหนักคิด- วิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ
อาคารสำนักพิมพ์ - ร้านค้าออกแบบตามสมัยนิยม
คณะฯของผู้เขียนไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน แหล่งขายของนานาชนิดราคาถูกกว่าเมืองไทยน้อยกว่าเท่าตัว แต่ราคาอาหารซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญกลับมีราคาสูงกว่าของไทยเป็นเท่าตัว
เครื่องประดับราคาถูก....วางขายบนแผงข้างทาง / โรตีกรอบแผ่นละ 30 บาท / ข้าวผัดกุ้งจานละ 60 บาท
ผู้เขียนเดินแยกกลุ่มไปที่ลานประดิษฐานอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงค์ที่บรรจงสร้างอย่างใหญ่โตกว่าตัวจริงราว
2 เท่า
พบเห็นชาวลาวหลายคนซื้อดอกไม้และเทียนเล่มโต
เพื่อสักการะแด่องค์เจ้าเหนือหัวของพวกเขา
พระจากประเทศกัมพูชา ส่งเสียงทักทายคุยกับ นร.แลกเปลี่ยนเอเอฟเอส / ดอกบัวขายพร้อมเทียน-ธูปกำละ 30 บาท
เพลิดเพลินกับทัศนียภาพริมฝั่งโขงท่ามกลางสายลมเย็นพัดผ่านอย่างบางเบา มองเห็นแสงไฟนวลส่องแสงวิบวับ-แวววาว อยู่ปลายสายตาจากฟากฝั่งไทยแผ่นดินเกิดอันอุดมพูนสุขภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพ่อหลวงไทย .. จิตระลึกถึงสถาบันหลักทั้ง 3 อย่างภาคภูมิใจและสุขใจ
“ ... สวัสดีปีใหม่ 2556 งูเล็กอำนวยชัย แห่งปีมะเส็งสุขสันต์ ... ” ค่ะ
อิจฉาพี่ไปลาวอีกแล้ว เอาค่ายที่เขาค้อมาให้ดูบ้างนะครับ
***... ขอบใจน้อง " น้อง ดร.ขจิต " ที่มาเยี่ยมเยียน จริงๆแล้วประเทศไทยสวยงามกว่าเยอะนะ.... เพิ่งมีโอกาสลงบันทึกค่าย....ช่วงนี้ตระครุบงานไม่ทันจริงๆ น่าเสียดายที่ " น้อง ดร.ขจิต " ไม่ได้มาร่วมงานด้วย...เกมสนุกมาก -บรรยากาศดีจริงๆ โอกาสหน้านะ หุหุหุ ...***