เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2556 ดิฉันได้มีโอกาสเข้าฟังบรรยายเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย โดยอาจารย์รัชณีย์ ป้อมทอง ทำให้ดิฉันได้รับรู้ความรู้สิ่งใหม่ๆมากมาย ทำให้เรียนรู้ว่าความตายไม่ใช่เรื่องไกลตัว ได้รู้ว่าการตายดีคืออะไร สิ่งที่มีความหมายต่อผู้ป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งความรู้เหล่านี้เป็นประโยชน์อย่างมากต่อวิชาชีพกิจกรรมบำบัด ดิฉันจึงขอสรุปสิ่งที่ได้จากการฟังบรรยายดังนี้
ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ให้ความสนใจในเรื่องของความตายมากขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ความตายเกือบเป็นเรื่องต้องห้าม วิวัฒนาการด้านการแพทย์ที่พัฒนาสูงขึ้นทำให้มนุษย์มีโอกาสตายตามธรรมชาติน้อยลง แต่ไปทนทุกข์ทรมานในโรงพยาบาลที่มีสายระโยงระยางรอบเตียงแทน เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย รอคอยความตาย ไม่มีโอกาสพ้นทุกข์ ไม่สามารถใช้ชีวิตที่เหลือให้เป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่นได้
การดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในช่วงเวลาใกล้เสียชีวิตนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลแบบประคับประคอง โดยมีเป้าหมายเพื่อ
ผู้ป่วยระยะสุดท้ายจะได้รับการสนันสนุนด้านร่างกาย มีการควบคุมความเจ็บปวดและอาการอื่นๆ ทุเลาความทุกข์ทรมาน ด้านจิตสังคมและการตอบสนองต่อจิตวิญญาณ โดยทีมสุขภาพและครอบครัวจะช่วยให้ผู้ป่วยยอมรับสภาพความเจ็บป่วย เรียนรู้ความจริงของชีวิตที่ต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดา
อาจารย์ได้ตั้งคำถาม ถามทุกคนในห้องบรรยายว่า "การตายดี คืออะไร?" คำตอบที่ได้หลากหลายแตกต่างเช่น การตายจากการนอนหลับ การตายแบบไม่ทรมาน เป็นต้น ทำให้ดิฉันเกิดข้อสงสัยว่า แล้วการตายดีที่แท้คืออะไร?
การตายดี (Good Death) มีหลักการที่จะทำให้การตายนั้น เป็นการตายดีคือ
เชื่อมโยงเข้ากับกรอบอ้างอิง Psychospiritual Integration Frame of Reference ที่ใช้ในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย
คนแต่ละคนจะมีความเชื่อ ความคิด ศาสนา วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน นักกิจกรรมบำบัดควรทำให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายมีคุณภาพชีวิตที่ดีจนกว่าะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เช่น การทำกิจกรรมท่มีความหมายต่อพุทธศาสนิกชนจะสวดมนต์และคิดสิ่งดีๆ เพื่อให้ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี จัดกิจกรรมตามความต้องการอย่างเหมาะสมสอดคล้องกับสังคมและวัฒนธรรม โดยให้ผู้รับบริการและครอบครัวเป็นศูนย์กลาง คอยให้กำลังใจและคำปรึกษาจนวาระสุดท้าย เพื่อให้ผู้ป่วยได้อำลาโลกนี้ไปด้วยความสุข
While we live, let us live, then and only then let us die.