จากการฟังบรรยายเรื่องการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย (End of Life Care) จากอาจารย์รัชณีย์ ป้อมทอง ณ ห้องAuditorium คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ในวันที่ 9 มกราคม พ.ศ.2556 เวลา 13.00-15.00น. ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจถึงความตายว่าเป็นเรื่องธรรมชาติื แต่การตายโดยธรรมชาติเป็นเรื่องยากและมีโอกาสเป็นได้น้อย การตายตามธรรมชาติ คือการตายดี เป็นการจากไปอย่างสงบ การตายที่ปลอดจากความทุกข์ทรมาน
การดูแลผู้ป่วยในระยะสุดท้าย ต้องอาศัยการทำงานของสหวิชาชีพ ทั้งแพทย์ พยาบาล นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด และบุคลากรด้านการแพทย์อื่นๆ โดยดูแลแบบองค์รวม(Holistic care) เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ช่วยบรรเทาอาการทุกข์ทรมานต่างๆ ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ช่วยให้เสียชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยมีความทุกข์ทรมานน้อยที่สุด
การดูแลแบบประคับประคอง(Palliative care) คือการดูแลผู้ป่วยโรครุนแรง และอาจคุกคามต่อชีวิต โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพทุกมิติทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคมและจิตวิญญาณ เป็นการดูแลเพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่างๆ ไม่เร่งหรือเหนี่ยวรั้งการเสียชีวิต การดำเนินชีวิตและความตายเป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้ตั้งแต่ระยะแรกที่เริ่มป่วย
จาการฟังบรรยายสามารถนำมาเชื่อมโยงกับการให้บริการทางกิจกรรมบำบัด ดังนี้
บทบาทนักกิจกรรมบำบัดในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย
- ให้ข้อมูลผลกระทบจากโรค และวิธีการบำบัดฟื้นฟูด้วยข้อมูลที่แท้จริง เพื่อให้ผู้ป่วยรับรู้สภาพร่างกายของตนเอง(Self-identity) และเกิดการยอมรับว่าการเสียชีวิตเป็นเรื่องธรรมชาติ
- เทคนิควิธีการกระตุ้นความสนใจและการมีส่วนร่วมทำกิจกรรม เพิ่มความรู้สึกมีคุณค่า
มีความสามารถ มีความภาคภูมิใจ มีความหมาย และมีความเป็นอิสระในตนเอง
- ด้านร่างกาย ส่งเสริมให้ผู้รับบริการดูแลตนเอง(Self-care) ตามความสามารถและศักยภาพที่มีอยู่ โดยให้พึ่งพาตนเองให้ได้มากที่สุด ส่งเสริมเรื่องการออกกำลังกายแบบเบา เช่นการยกแขนขึ้นลงประกอบเพลง
- ด้านจิตใจ การให้กำลังใจที่ดีที่สุดในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย คือการรับฟังผู้ป่วยอย่างตั้งใจ โดยเปิดโอกาสให้ระบายความรู้สึกออกมา จัดกิจกรรมที่ผู้ป่วยสนใจเพื่อกระตุ้นแรงจูงใจในการทำิกิจกรรม และส่งเสริมSelf-esteem
- ด้านจิตวิญญาณ บริบทด้านศาสนาเป็นปัจจัยด้านบุคคลที่สำคัญ ควรสนับสนุนและอำนวยความสะดวกตามความต้องการด้านความเชื่อและพิธีทางศาสนา เช่นศาสนาพุทธ จัดให้มีวิทยุเทปบทสวดมนต์ การอ่านหนังสือธรรมะ ศาสนาคริสต์จัดบทสวด สายประคำ และมีนักบวชมาเยี่ยมบรรเทาใจผู้ป่วยและญาติ
- การตั้งเป้าหมายการบริการทางกิจกรรมบำบัดและการวางแผนก่อนการเสียชีวิตร่วมกับผู้ป่วยและครอบครัว (เน้นClient Center)
- ประเมินว่า ผู้สูงอายุต้องการอะไรในระยะสุดท้าย อยากสื่อสารความรักและความเห็นอกเห็นใจกับญาติอย่างไร
- การส่งเสริมการยอมรับการเสียชีวิตโดยไม่วิตกกังวล เช่นส่งเสริมการเรียนรู้ความหมายของการเสียชีวิตและช่วยให้ยอมรับการเสียชีวิตที่จะมาถึง การกระตุ้นให้ผู้ป่วยระลึกถึงความดีที่ได้กระทำมาแล้ว และจิตใจจดจ่อต่อสิ่งที่ดีงาม การสื่อสารเรื่อง “มรณสติ” เพื่อพิจารณาความตายอย่างสม่ำเสมอ
เตือนตนเองให้ทำความคุ้นเคยกับความตายของผู้อื่น
แล้วเชื่อมโยงกับชีวิตที่กำลังจะตายอย่างสงบสุขของตนเอง
- แนะนำญาติทำกิจกรรมที่มีคุณค่า
เช่น คุยสิ่งที่ประทับใจในตัวผู้สูงอายุ อาบน้ำเช็ดตัวให้ผู้สูงอายุ
หาของทำบุญหรือทำพิธีกรรมทางศาสนา ปรับสภาพอาหารที่ชอบ
จัดเหตุการณ์และกิจกรรมเบี่ยงเบนความคิดหมกมุ่นกับโรคและความตาย
- การให้กำลังใจครอบครัวของผู้ป่วย
- กิจกรรมผ่อนคลาย เทคนิคการจัดการความเครียดและความเหนื่อยล้า
- ปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับวิถีการดำเนินชีวิต
- การประเมินFACIT-Sp เพื่อประเมินความเป็นอยู่ที่ดีในการทำกิจกรรมของผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยเรื้อรัง
กรอบอ้างอิง Psychospiritual Integration Frame of Reference(Kang, 2003) เป็นกรอบอ้างอิงที่ใช้ในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย
ไม่มีความเห็น