รู้จัก “แก้ไขตัวเอง...”


“คนส่วนใหญ่นี้มีโมหะ มีความหลงผิด คิดว่าปล่อยวางนี้คือการไม่ทำอะไร…” การปล่อยวางก็ได้แก่การเสียสละอย่างมาก ๆ ตลอดชีวิตนี้เลย เสียสละทั้งกายทั้งใจ ไม่ต้องติดสุขติดสบาย เพราะทุกอย่างมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของ ๆ เรา ปล่อยมันไปวางมันไปอัตตาตัวตนนี้ ว่าเป็นผู้หญิงว่าเป็นผู้ชายว่ายังหนุ่มยังสาว ต้องปล่อยวางไปหมด เรานี้ก็ไม่ใช่ของ ๆ เราคนอื่นก็ไม่ใช่คนอื่น


พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุก ๆ คนแก้ไขตัวเองนะ... เพราะตัวเองกำลังมีความคิดเห็นผิด เข้าใจผิดว่าร่างกายนี้เป็นของเรา ว่าทุกขเวทนาที่มันเกิดขึ้นกับเราทั้งทางกายทั้งทางใจว่าเป็นของเรา ว่าสังขารความนึกคิดปรุงแต่งเป็นเรา ว่าความจำได้หมายรู้เป็นของเรา ว่าตัวผู้รู้ที่เรายังไม่ตายเรามีชีวิตอยู่เป็นของเรา นี้เป็นความคิดเห็นผิดเป็นความเข้าใจผิด เป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏคือวัฏฏะสงสาร


ความเป็นจริงแล้วสิ่งเรานี้ไม่ใช่เป็นเราไม่ใช่เป็นของ ๆ เรา เพียงแต่เรามาอาศัยร่างกายอาศัยธาตุอาศัยขันธ์นี้ เหมือนแต่ก่อนเราไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ไม่มีสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ เมื่อเราไปซื้อมาหามาเราก็มีบ้านมีรถมีสิ่งของเครื่องใช้ เราใช้ของเหล่านั้น ของเหล่านั้นก็เก่าคร่ำคร่าทรุดโทรมไป


ถึงแม้สิ่งของมันไม่จากเราไปเราก็ต้องจากสิ่งของไป... ร่างกายของเรานี้ก็เหมือนกัน มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของ ๆ เรา มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป 

มนุษย์หรือสรรพสัตว์ทั้งหลายต้องมีการเปลี่ยนแปลงต้องมีการเปลี่ยนไปทุกอิริยาบถ มันจะหยุดนิ่งอยู่ไม่ได้ สิ่งใหม่ ๆ มา สิ่งเก่า ๆ ก็พรัดพรากจากไป พระพุทธเจ้าให้เรายอมรับว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของ ๆ เรา ให้ยอมรับเวทนาว่ามันจะสุขมันจะทุกข์มันก็ไม่ใช่ของเรา ขันธ์ทั้ง ๕ นี้ไม่ใช่ของเรานะ ถ้าเรายึดเราถือมันก็เป็นภาระหนัก มันไม่ใช่หนักกายอย่างเดียวนะ มันหนักใจมันทุกข์ใจ...

จิตใจเราเมื่อไปแบกไปถือแล้วมันก็ต้องหนัก

พระพุทธเจ้าท่านให้เรารับรู้แล้วก็ปล่อยวาง อย่าได้เข้าไปยึดไปถือ

คำว่าปล่อยวางนี้ก็คือปล่อยวางทางจิตใจ คือไม่ต้องไปนึกไม่ต้องไปคิดไม่ต้องไปปรุงแต่ง ถ้าเราเข้าไปนึกไปคิดไปวิตกกังวลมันต้องทุกข์แน่ไม่มากก็น้อย

ทุกสิ่งทุกอย่างพระพุทธเจ้าท่านให้เรารับรู้แล้วก็ปล่อยวาง ปล่อยวางก็คือไม่ปรุงแต่งอะไร มันจะสุขมันจะทุกข์เราก็ไม่ปรุงแต่งอะไร เพราะความปรุงแต่งเป็นทุกข์อย่างยิ่งนะ เมื่อเรารู้แล้วเราไม่มีความปรุงแต่ง ใจของเราก็เกิดสมาธิเกิดปัญญา ใจของเราก็ออกจากสิ่งที่โคจร “ถ้าเราปรุงแต่ง สัมมาสมาธิที่ประกอบด้วยปัญญานั้นมันก็เคลื่อนไหว เพราะเรายังลูบ ๆ คลำ ๆ ในความรู้สึกนึกคิด…”

เราทุก ๆ คนเป็นผู้ที่ประเสริฐมาก เกิดมาเพื่อสร้างความดี เกิดมาเพื่อสร้างบารมี เพื่อหมดภพหมดชาติ อย่างพระเรา เณรเรา แม่ชีเรา โยมที่อยู่วัดก็ถือว่าโชคดีมาก บ้านก็ไม่ได้เช่าข้าวก็ไม่ได้ซื้อ ที่อยู่ที่นอนก็สะดวกสบาย พระพุทธเจ้าท่านว่าเราโชคดีมาก โชคดีที่ได้สร้างบารมี คือได้ปฏิบัติธรรมะแท้ ๆ ผู้นั้นจะพ้นจากบ่วงแห่งมาร พ้นจากบ่วงแห่งกรรม


มีปัญหาว่าเมื่อเราได้มาอยู่ในภพในภูมิในสถานที่ที่เพียบพร้อมสะดวกสบาย ถ้าเราตั้งอยู่ในความประมาทขาดความกระตือรือร้นเอาใจใส่รับผิดชอบ มาหลงความสุขแบบโลก ๆ ได้บริโภคปัจจัยสี่อย่างสะดวกสบายแล้วไม่ตั้งใจภาวนาแก้จิตแก้ใจ แก้ความหลงให้ยิ่ง ๆ  ขึ้นไป มันก็ขาดทุน เพราะชีวิตนี้เป็นของที่มีค่า เพราะชีวิตนี้เป็นของที่ประเสริฐมาก 

“คนส่วนใหญ่นี้มีโมหะ มีความหลงผิด คิดว่าปล่อยวางนี้คือการไม่ทำอะไร…”  การปล่อยวางก็ได้แก่การเสียสละอย่างมาก ๆ ตลอดชีวิตนี้เลย 

เสียสละทั้งกายทั้งใจ ไม่ต้องติดสุขติดสบาย เพราะทุกอย่างมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของ ๆ เรา ปล่อยมันไปวางมันไปอัตตาตัวตนนี้ ว่าเป็นผู้หญิงว่าเป็นผู้ชายว่ายังหนุ่มยังสาว ต้องปล่อยวางไปหมด เรานี้ก็ไม่ใช่ของ ๆ เราคนอื่นก็ไม่ใช่คนอื่น 

เอาศีลเป็นหลัก เอาศีลห้าศีลแปดศีลสิบ ศีล ๒๒๗ เป็นหลัก 

มีเจตนาที่จะเข้าถึงศีลโดยไม่ลูบ ๆ คลำ ๆ เพราะศีลคือตัวไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง คือตัวที่ไม่มีอัตตาตัวตน

เมื่อมันมีใจต่อต้านในเรื่องศีลอยู่ มันยังถามอยู่ว่ารักษาศีลไปเพื่ออะไร ยังถามในใจอยู่ว่ารักษาศีลแล้วได้อะไร มันก็ยังเป็น “สีลัพพตปรามาส...”

เราหายใจไปทำไมล่ะ...?  เราหายใจก็เพื่อจะได้ชีวิตอยู่ เรารักษาศีลก็เพื่อละความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่มีศีลสัมมาสมาธิมันไม่มี มันเป็นสมาธิธรรมดาเฉย ๆ มันไม่ใช่สมาธิที่ดับทุกข์ได้อย่างถาวร


คนเรามันอัตตาตัวตนมาก มันถามว่านั่งสมาธิจะได้อะไร มันมีแต่จะเอา มันมีแต่จะยึดจะถือ มันรู้มากเรียนมาก มันมีแต่ถามอยู่นั่นแหละ…!

พระพุทธเจ้าท่านให้เราทำไปปฏิบัติไป ใจของเราจะได้สัมผัสกับพระนิพพาน อินทรีย์บารมีของเราก็จะได้แก่กล้า จิตใจของเราก็จะมีความสุข จิตใจของเราก็จะมีความดับทุกข์ได้ นี่เรายังไม่ทำเรามีแต่ถามอยู่นั่นน่ะมันไม่ได้นะ มันจะเอาแต่ผลประโยชน์

พระพุทธเจ้าท่านให้เราละผลประโยชน์ ละตัวละตน เราก็มีแต่จะเอามัน เผาอยู่นั่นนะ เป็นหม้อนรกใหญ่ ๆ เผาเราทั้งวันทั้งคืน 


ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านให้รู้จักใจของเรา ว่าความร้อนของเรามันมีมาก ความอยากของเรามันมาก ทีนี้เรามาทำให้มันถูก มาละทิฐิมานะ มาละอัตตาตัวตน ความสงบก็จะมีแก่เราทุกหนทุกแห่ง ความสงบก็คือไม่มีไม่เป็น “เห็นมั๊ยกิเลสทำให้เราวิ่งใต้วิ่งเหนือ มันไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะใจของเรานี้มันหลงมากมันมืดมาก...” 

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ใจของเราสงบ ให้ใจของเรารวม ให้ใจของเรานิ่ง ให้ใจของเราไม่แตกสลาย มันยังลังเลสงสัยอยู่ตลอดเพราะเราวิ่งตามอารมณ์ เมื่อเราหยุดเมื่อเราสงบนั่นแหละปัญหาต่าง ๆ มันถึงจะสงบลง มันถึงจะหายความลังเลสงสัย ถ้าเราไม่สงบ มันก็จะ “ทำไม ทำไม...?” อยู่นั่นนะ

หยุดอยากหยุดต้องการนะ... ทำอะไรก็เพื่อเสียสละเพื่อปล่อยเพื่อวาง ถ้าไม่อย่างนั้นมันปฏิบัติหลงงมงาย ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีอะไรที่จะยึดมั่นถือมั่น “มันก็ต้องตายทั้งนั้นแหละ คนเก่งก็ต้องตายคนไม่เก่งก็ต้องตาย ไม่มีใครเกิดมาแล้วมันไม่ตายหรอกนะ...”

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าให้ทุกท่านทุกคนพากันประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามอริยมรรคมีองค์ ๘ 

อริยมรรคมีองค์ ๘ มีแต่เรื่องปล่อยวางนะ มีแต่เรื่องไม่มีตัวไม่มีตนทั้งนั้น 

ถ้าเรามีตัวมีตน เราจะไปพระนิพพานได้อย่างไร...? 

เราห่วงญาติห่วงพี่ห่วงน้อง เราห่วงลูกห่วงหลานเรา เราก็พอช่วยเค้าในการทำมาหากินได้เราก็ช่วยเค้าไป และต้องช่วยเค้าทางเรื่องการปฏิบัติธรรมด้วย

คนจนมันก็ทุกข์ ทุกข์ทั้งกายทุกข์ทั้งใจ เพราะเค้าทำเพื่อเอา เราห่วงลูกห่วงหลานเราเราก็บอกก็สอนเค้า แนะนำสั่งสอนเค้า แนะแนวเค้าให้รู้จักการทำงานรับผิดชอบ ทำอย่างนี้รวยนะ ทำอย่างนี้จน ส่วนที่เค้าจะไปรวยจะไปจนมันก็เป็นเรื่องของเค้า เราไม่ต้องไปทุกข์ไปร้อนกับเค้า 


“แม้แต่ตัวเราก็ไม่มีเรา ตัวเขาก็ไม่มีเขาอยู่แล้ว...” ทุกคนมันก็ต้องหายใจ ต้องทานอาหาร ต้องนอนเอาเอง จะไปปฏิบัติแทนกันไม่ได้ 

ให้ทุก ๆ คนรู้จักปล่อยรู้จักวางด้านจิตด้านใจ ไม่อย่างนั้นตัวเองก็ทุกข์อยู่แล้ว แบกอยู่แล้ว ๕ ขันธ์ ยังไปแบกคนอื่นอีกไม่รู้กี่ขัน การแบกอย่างนี้มันทุกข์มันตกนรกทั้งเป็น

คนเรานี้เมื่อมันทุกข์อยู่กับลูกกับหลานกับพ่อกับแม่ ทุกข์อยู่กับหน้าที่การงานอะไรต่าง ๆ ก็เพราะเราไม่รู้จักทำจิตทำใจ 

พระพุทธเจ้าท่านให้เราฉลาดในการทำจิตทำใจ เรื่องปล่อยเรื่องวาง

อย่างพระเจ้าสุทโธทนะ ส่งเสนาอำมาตย์ไปทูลให้พระพุทธเจ้ามาโปรดญาติบ้าง ให้มาเห็นหน้าเห็นตาบ้าง ส่งใครไปเมื่อเค้าได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าเค้าก็หายทุกข์กันนะ ในใจก็ได้รับความสุข เลยไม่มีใครกลับมา เพราะเขามีความสุขทางด้านจิตใจ ได้รับธรรมะคือแสงสว่างทางใจ

คนเราถ้าจิตใจมันหมกมุ่นครุ่นคิด หมกอยู่กับความคิดที่มันไม่ปล่อยไม่วาง ไม่ได้นะ...! ต้องรีบปล่อยรีบวาง อย่าให้มันทุกข์หลายชั่วโมง หลายนาที หลายวัน มันเป็นบาปเป็นกรรม มันทำให้เราเกิดโรคภัยต่าง ๆ นานา โรคกระเพาะ โรคประสาท โรคไมเกรน จนกลายเป็นโรคจิต โรคหัวใจ โรคมะเร็ง ก็เพราะว่าเป็นคนไม่ปล่อยไม่วาง ชอบหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับอดีต เลยกลายเป็นโรคต่าง ๆ กลายเป็นบาปเป็นกรรม

เพราะเราไปวิตกไปหมกมุ่นครุ่นคิด เราไม่รู้จักปล่อยไม่รู้จักจักวาง เราไม่รู้จักวางอุเบกขา วางเฉยต่ออารมณ์ทั้งหลาย ใจของเราไม่มีอิสระ ไม่มีความสุข เพราะสารที่หลั่งความสุขมันไม่มี


พระพุทธเจ้าท่านให้เราแก้ที่จิตที่ใจ แก้ที่อารมณ์ อย่าให้มันหลงโลกหลงอารมณ์ไปมากกว่านี้ อย่าให้ความคิดมันวกวนอยู่อย่างนั้นไม่ได้นะ รู้จักรู้แจ้งต่ออารมณ์ มุ่งหน้าประพฤติปฏิบัติ

ผู้ที่อยู่วัดก็หลงโลกหลงอารมณ์ ผู้ที่อยู่บ้านก็หลงโลกหลงอารมณ์เหมือนกัน

พระพุทธเจ้าท่านเมตตาสอนเราอย่างนี้ ถ้าเราไม่แก้ไขมันก็ยิ่งไปกันใหญ่ มันก็สายเกินแก้

พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกคนมาแก้ที่ตัวเรานะ เสียสละเป็นบารมี คนเราตั้งแต่เกิดจนหมดลมหายใจมันก็เป็นผู้เอา ตั้งแต่อยู่ในท้องก็ต้องอาศัยดื่มกินน้ำนมจากแม่ เมื่อเกิดมาสู่โลกลืมตาดูโลกแล้วก็ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อจากแม่ การเรียนการศึกษาก็เพื่อเป็นผู้เอา เป็นคนเก่งคนฉลาด เพื่อจะได้เปรียบคนอื่นเอาเปรียบคนอื่น

พระพุทธเจ้าท่านถึงสอนเราให้เป็นผู้ให้ เป็นผู้เสียสละ เพราะว่าเราเกิดมาในโลกนี้ล้วนแต่เป็นญาติเป็นพี่เป็นน้องกันทั้งหมดทั้งสิ้น

หรือว่ามนุษย์อยู่ในโลกเดียวกัน หรือพวกสัตว์ต่าง ๆ  จิตใจที่เป็นผู้ให้ผู้เสียสละ ถือว่าเป็นจิตใจที่ยิ่งใหญ่

เราอยู่ในบ้านในครอบครัว ถ้าเราไม่ฝึกเป็นผู้ให้ทานเป็นผู้เสียสละครอบครัวเราก็ไม่มีความสุขแน่ ตัวเราก็ไม่มีความสุขเหมือนกัน


พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนเราให้เป็นผู้เสียสละต่อเพื่อนมนุษย์ต่อสัตว์อื่น

ให้ทานภายนอกแล้วก็ยังไม่พอ ต้องให้ทานทางจิตทางใจ ไม่พยาบาทโกรธแค้นขัดเคืองต่อคนที่เค้าทำไม่ดีทำไม่ถูก คนอื่นเค้าจะดีจะชั่วมันก็เรื่องของเค้า เราก็อย่าเอามาใส่ใจ เค้าจะว่าเราเค้าจะนินทาเรา หาเรื่องหาราวให้เรา เรื่องมันไม่จริงเราก็อย่ามาโกรธแค้นอย่าเอามาใส่จิตใส่จิต อยู่ทางโลกมันก็เป็นอย่างนี้แหละนะ มีทั้งคนดีทั้งคนไม่ดี ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็ไม่ใช่โลก ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนคนอย่างนี้มันก็จะมีหมด 

เราก็บอกตัวเราเอง บอกใจของเราเองว่ามันดีเหมือนกันนะ เราจะได้ฝึกใจ ได้ฝึกได้พัฒนาใจ ถ้ามันดีหมดมันสบายหมดมันก็ไม่ได้ฝึกใจ

เราฝึกเป็นคนเสียสละทั้งทางกายทั้งทางคำพูด

คำพูดนี้บางทีเราก็มักง่าย พูดจาไม่ค่อยจะดีไม่ค่อยเรียบร้อย ต้องฝึกพูดให้ดีให้เป็นบุญให้เป็นกุศล มันชอบใช้คำพูดไม่ดีไม่เหมาะสม เพื่อทำร้ายจิตใจคนอื่นทำร้ายจิตใจพ่อแม่ผู้ใกล้ชิดเพื่อนฝูง

ที่บ้านเราไม่น่าอยู่ ที่ครอบครัวเราไม่มีความสุขส่วนใหญ่มันมาจากคำพูดเหมือนกัน ใจมันคิดอย่างไรเราจะพูดอย่างนั้นไม่ได้นะ

พระพุทธเจ้าท่านให้เราเห็นความสำคัญในคำพูดในเรื่องพูด เราเป็นคนเก่งเป็นคนฉลาด คนอื่นเค้าอาจจะไม่เก่งไม่ฉลาดเหมือนเรา คนอื่นเค้ามีฐานะน้อยกว่าเรา เช่นเค้าเป็นลูกเป็นหลานเป็นเจ้าหน้าทีเป็นพนักงานของเรา

เค้าก็ไม่มีโอกาสที่จะได้พูดได้แสดงความคิดเห็น เราเป็นพ่อเป็นแม่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่เราก็ยิ่งไม่มีสติไม่รู้ตัวเองในการพูด ถ้าเราพัฒนาเรื่องพูดนี้ครอบครัวเราก็มีความสุข

คนจะรักกันก็เพราะคำพูด คนเค้าจะเกลียดกันก็เพราะคำพูดนี้นะ คนที่เค้าเป็นลูกเป็นหลาน ถ้าพ่อแม่บอกไม่ดีอย่างโน้นไม่ดีอย่างนี้มันก็ทำพ่อแม่มันหมดนะ 


มันจะดีก็ไม่ได้เพราะพ่อแม่ไปบ่นไปด่าไปว่าลูกไม่ดี ถ้าพ่อแม่ฉลาดก็ต้องพูดว่า “เดี๋ยวนี้มันดีอย่างโน้น เดี๋ยวนี้มันดีอย่างนี้” เด็ก ๆ มันก็ดีตามพ่อตามแม่ที่พูด เขาก็เกิดกำลังใจ

ถ้าเรามาบวชพระมาอยู่วัดปฏิบัติธรรม ที่เรามาบวชพระจุดมุ่งหมายของเราคือมาเป็นผู้เสียสละมาเป็นผู้ให้ทาน มาเพื่อขัดเพื่อเกลาจิตใจตนเอง จะเป็นคนไม่ตามใจตนเอง เพราะปกติแล้วเราเป็นคนไม่มีศีลไม่ปฏิบัติศีลอย่างเอาจริงเอาจัง เป็นคนปฏิบัติอย่างลูบ ๆคลำ ๆ ที่เรามาบวชเพื่อมาตั้งมั่นในศีล มาเสียสละความโลภความโกรธความหลงในจิตในใจของเรา

มาสำรวมกายวาจาใจ มาเป็นคนเสียสละ มาปฏิบัติตามธรรมวินัยทุกขั้นทุกตอน 

กิเลสที่อยู่ในจิตในใจของเรามันมีมาก เรามาให้ทานมันไป มาเสียสละมันไป 

เราทุกคนมันติดสุขติดสบายจริง ๆ เพราะตอนเด็ก ๆ มันเป็นผู้เอาอย่างเดียว ตอนนี้ก็ยังเป็นผู้เอาอยู่ มันยังไม่เป็นผู้ให้ ไม่อยากตื่นตั้งแต่เช้าก็ต้องตื่น ไม่อยากเดินจงกรมไม่อยากนั่งสมาธิก็ต้องเดินต้องนั่ง ไม่อยากทำวัตรสวดมนต์ก็เอาจิตเอาใจมาทำวัตรสวดมนต์ มาเสียสละมาปล่อยมาวาง มามีความสุขกับการทำความดีกับการเสียสละ

เราเป็นโยมเรามีโอกาสมีเวลาได้มาถือศีลประพฤติปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านก็ให้เราปรับจิตปรับใจ ปรับกายวาจาเข้ามาหาศีลหาธรรม เพราะว่าเป็นโอกาสดีเป็นโอกาสที่จะได้สร้างบารมีของเรา ให้เราพยายามเข้มแข็งไว้อย่าไปใจอ่อน รักษาศีลแปดให้มันได้ ทำวัตรสวดมนต์ก็ให้มันได้ทุกครั้ง ขาไม่ดีเข่าไม่ดีครูบาอาจารย์ท่านก็ให้มานั่งเก้าอี้ได้ ตามสภาพตามอัตภาพ เรามาอยู่วัดเราก็อย่าไปพูดมากคุยมากเกินถึงเวลาสงบใจสงบวาจา ฝึกจิตใจให้สงบ ฝึกจิตใจอยู่กับตัวเอง ท่องพุทโธ ๆ ฝึกสมาธิ มีโทรศัพท์มีมือถือให้หยุดไว้ก่อน ให้ปิดไว้ก่อน ให้ถือว่าช่วงนี้เรามาถือศีลมาปฏิบัติธรรม ช่วงที่เรามาอยู่วัดก็ให้ตั้งใจปฏิบัติให้มันดี ๆ นะ เพราะตัวของใครก็ตัวของมันคนนั้นต้องปฏิบัติเอง ไม่มีใครมาปฏิบัติแทนตัวเองได้นะ


 ชีวิตของคนเรานี้มันแก่เฒ่าไปทุก ๆ วัน เราทำมาหากินตั้งแต่เด็กจนหมดลมหายใจ สุดท้ายเราก็ไม่ได้เอาอะไรไปเพราะมันเป็นทรัพย์ภายนอก มันเป็นของใช้ชั่วคราวเท่านั้น สุดท้ายเราก็ไม่ได้เอาอะไรไปซักอย่าง อริยทรัพย์ก็คือทานคือศีลคือภาวนาคืออริยทรัพย์ที่จะติดตามตัวเราไปได้ พวกเราต้องพึงประพฤติปฏิบัติให้มันดีให้มันยิ่ง ๆ ขึ้นไป

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์มีโอกาสดีที่จะสร้างบารมี ถ้าไม่พากันทำ ไม่พากันสร้างบารมีส่วนใหญ่ตายไปแล้วไปตกนรกเป็นส่วนมาก สาเหตุเกิดจากความประมาทของเรา และเกิดจากความไม่รู้ คิดว่าตายแล้วก็แล้วไป ตายแล้วมันไม่แล้วไปนะ ถ้าเราไม่หมดกิเลสไม่สิ้นอาสวะ เราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก...


พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย

เช้าวันจันทร์ที่ ๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๖


หมายเลขบันทึก: 515951เขียนเมื่อ 12 มกราคม 2013 05:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มกราคม 2013 05:58 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

สาธุค่ะ 

ใจ "ดี" เมื่อได้อ่านค่ะ ขอบพระคุณค่ะ 

เคยฟังพระเทศน์สอดคล้องกับบันทึกนี้เลย พระท่านว่า   " ถ้าหากยังไม่แก้ไข ปรับที่ใจ น้ำตาที่ไหลเพราะความเศร้าโศก ถ้ารวมไว้ได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า มากกว่าน้ำในมหาสมุทร "   หากเป็นเช่นนั้น ก็คงเกิดดับ  ไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์เลยเนอะ เพียงแค่นี้ ก็รู้สึกสังเวชสลดใจ กับเวลาที่เราเสียไปเพราะความประมาทน่ะ แต่ใจก็ยังดีไม่ใจเสีย เหตุการณ์บางอย่างที่เราพบเจอ ถึงแม้จะเป็นทุกข์ แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นสุขพอๆกัน เมื่อมันผ่านมาได้ และภูมิใจทุกครั้งเลยเวลาเจออะไรหนักๆเหมือนจะไม่ไหวแล้วนะ..พอเราละ..พร้อมกับอธิษฐานอะไรไป...ไม่เคยพลาด สิ่งเหล่านี้ เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นความจริงแท้ ถึงแม้วันนี้เรายังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ก็ตาม แต่นึกถึงคำสอนทีไร ก็สงบ เย็นใจ ทุกที ขอบคุณธรรมะดีๆ ที่แบ่งปัน 

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท