การจัดการเรียนรู้
เมื่อเร็วๆนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสนำนักเรียนไปศึกษาแหล่งเรียนรู้ต่างๆ
ตามแนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้บริบท "อยุธยามรดกโลก"
เป็นแหล่งเรียนรู้
ซึ่งครูผู้สอนและนักเรียนได้ร่วมกันจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะบูรณาการกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆเข้าด้วยกัน
ฉะนั้นจึงได้วางแผนออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ใน
"อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา"
เพื่อให้นักเรียนได้เข้าไปศึกษาเรียนรู้ตามสถานที่ต่างๆ เช่น
วิหารพระมงคลบพิตร วัดพระศรีสรรเพชญ์
วัดพระราม
วัดหน้าพระเมรุ วัดไชยวัฒนาราม และวัดใหญ่ชัยมงคล
ศิษย์กับครูเรียนรู้ไปพร้อมๆกัน
การไปศึกษาแหล่งเรียนรู้ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก
หรือครั้งเดียว นักเรียนบางคนเคยไปสถานที่ดังกล่าวกับพ่อแม่ ผู้ปกครอง
และต้องการไปศึกษา เจาะลึก
ดังนั้นกิจกรรมการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในสถานที่ต่างๆ
นักเรียนจึงได้รับฟังการบรรยายจากวิทยากร
สัมภาษณ์ผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นถึงประวัติความเป็นมาของโบราณสถาน
โบราณวัตถุ และเด็กๆได้ตั้งคำถามอย่างมากมาย หลากหลายคำถาม เช่น
สถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นได้อย่างไร
ใครเป็นคนสร้าง ใช้เวลานานเท่าใด
ทำไมจึงเลือกทำเลที่ตั้งตรงจุดนี้
มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างไร
และจะทำอย่างไรให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาเที่ยวมากขึ้น
เป็นต้น
เทคนิคการตั้งคำถามลักษณะที่กล่าวมานี้ เป็นสิ่งที่นักเรียนสามารถไปสืบค้นหาข้อมูล ความรู้จากแหล่งต่างๆที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เช่น จากการสอบถามผู้รู้ จากการค้นคว้าในห้องสมุด จากการสืบค้นอินเตอร์เน็ต เป็นต้น จากนั้นจึงได้นำมารวบรวมทำเป็น "หนังสือเล่มเล็ก" ซึ่งจะมีเรื่องราวนำเสนอในแง่มุมที่หลากหลาย และที่น่าสนใจคือมีการวาดภาพระบายสีตกแต่งสวยงาม ทำให้มีหนังสืออ่านประกอบเพิ่มขึ้นมาและสามารถแลกเปลี่ยนกันอ่านได้ด้วย
มุ่งมั่นสู่ ปรัชญาโรงเรียน
ในการจัดการศึกษาของโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา ต้องการฝึกฝน อบรม
ให้ผู้เรียนทุกคนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตร และเป็นผู้ที
"ฉลาดและมีคุณธรรม" ตามปรัชญาของโรงเรียน
ดังนั้นการที่ผู้เรียน "ฉลาด"
ไม่ได้หมายความว่าจะต้องสอบให้ได้ที่ 1 หรือเรียนได้เกรด 4 หมด
แต่หมายถึง
"ความเฉลียวฉลาดในการเรียนรู้และสามารถนำประสบการณ์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน"
ส่วน "คุณธรรม"
ในที่นี้หมายถึงการที่ผู้เรียนมีคุณธรรมจริยธรรมขั้นพื้นฐาน เช่น
"ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดทด ตรงต่อเวลา
รู้หน้าที่
และมีน้ำใจ" เป็นต้น
ปรับเปลี่ยนจาก NO ไปสู่ KNOW
การที่เราไม่รู้มักจะบอกว่า No อยู่เสมอ
ฉะนั้นครูผู้สอนจะต้องผันวิกฤตให้เป็นโอกาสให้ได้
โดยต้องใช้กระบวนการจัดการความรู้
มาเป็นแนวทางหรือเป็นเครื่องมือเพื่อที่จะให้ผู้เรียนมีความรู้
Know หรือเกิด Knowledge ขึ้นมาให้ได้
ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายคุณครูทุกท่านใช่ไหมครับ
ไม่มีความเห็น