เช้าวันนี้ฉันเข้ามาทำงานจิตอาสาเมื่อทุกคนเคารพธงชาติไปแล้ว
มีผู้ป่วยรอร่วมทำสมาธิบำบัด 25 คนเหมือนเมื่อวาน เราเริ่มเข้าสู่กิจกรรมจิตตปัญญาพร้อมกันเมื่อเวลา 08.30 น.
เสียงแอร์ทำงานกระหึ่มขึ้นมาเพราะความเก่าบวกกับการถูกใช้งานหนักนานราวๆ 5 -6 นาที จึงเบาลง
เราเริ่มกิจกรรมด้วยการทักทายกัน ถามทุกข์สุข สุขนั้นหาไม่เจอมีแต่บอกว่าทุกข์กายทุกข์ใจ
เอ้า ! รู้ว่าทุกข์แล้วเก็บไว้ทำไม คำพูดนี้อยู่ในใจไม่ออกมา อิอิ
การสร้างความตระหนักแต่ละครั้งก็ควรต้องรู้เขารู้เรากันก่อน พอประมาณ พอเรียกให้สติมันกังขา ให้มันได้ใคร่ครวญ
ได้ฟังหลายๆความคิดก็ให้คิดเปรียบเทียบกันนะ ถ้าเปรียบเทียบกันแล้วบอกว่าของฉันหนักกว่า หรือของฉันสบายกว่า
ให้ใคร่ครวญว่าที่ว่าหนักกว่า เบากว่านั้นมันจริงไหม หรือว่ามันเกิดขึ้นไม่นานมันก็หายไป
ก็มีเสียงคุณป้าท่านหนึ่งพูดขึ้นมาว่ามันไม่อยู่นานหรอกค่ะ เดี๋ยวมันก็ไปแล้วถ้าเจอหมอ
ที่ป้าพูดก็ไม่ตัดสิน รอให้คนอื่นแสดงความคิดเห็นไม่ตัดสิน ไม่บอกใครถูกใครผิด ก็ให้ฟังเฉยๆ
ดูความคิดตัวเอง เห็นนิ่งกันหมด คิดเองว่าโจทย์วันนี้หนักไปหรือเปล่าหนอ...
ก็ตัดสินใจเองว่าควรแนะนำการหายใจที่ถูกต้อง ลมหายใจเป็นพลังชีวิต........
การหายใจถูกวิธีจะเกิดประโยชน์ต่อร่างกาย และจิตจะนิ่งสงบ ร่างกายมีสมดุล ก็จะสบาย
แต่คำตอบที่ใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่าทุกข์หายได้เมื่อเจอหมอนั้นก็ชวนให้คิดว่า กายนี้เป็นของเรา เราใช้กายนี้ จิตนี้
ดำรงชีวิตตามครรลองคลองธรรม ตามปกติสุข ตามวิถีของตนเอง แล้วเหตุใดเราจึงมักมองข้ามความสำคัญของการ
เอาใจใส่ตนเอง มันน่าจะเป็นความรับผิดชอบของเราเองมิใช่หรือ...กับการรู้จักบำรุงรักษาสุขภาพกาย ใจตนเอง
หากเราทุกคนปล่อยให้เป็นหน้าที่หมอเพียงผู้เดียว เราจะได้ความมั่นคงทางสุขภาพมาได้อย่างไร
ก็จะมีโอกาสเข้าสู่คำพูดมักได้ยินเสมอว่า 3 วันดี 4 วันไข้ ก็พูดคุยและนึกคิดกันไปตามสมควรจึงเรียกสติกลับมา
ชวนชวนให้ทุกท่านลองทำความรู้สึกตัว พร้อมลมหายใจของตัวเอง แล้วจึงเริ่มทำสมาธิรู้สึกตัว รับรู้ลมหายใจเข้า
และลมหายใจออกของตัวเอง การหยุดนิ่งของลมหายใจ หลังจากหายใจเข้าจนเต็มการกลั้นลมหายใจชั่ววินาที
และการหยุดนิ่งลมหายใจหลังหายใจออก เช่นนี้ ให้ตามความรู้สึกตัวให้ทัน เวลาผ่านไป 20 นาทีจึงร่วมกันแผ่เมตตา
หลังจากนั้นเปิดม่านกั้นออก เห็นผู้ป่วยที่มาทีหลังก็เต็มห้อง ดูเหมือนว่าวันนี้จะมากกว่า 50 คน เพราะมีการเสริมเก้าอี้
จึงเริ่มด้วยการให้น้องผู้ช่วยพยาบาล ช่วยกันแจกแอลกอฮอล์ล้างมือ เพื่อทำสปามือ กระตุ้นให้มือมีพลังก่อน
แล้วต่อด้วยการสอนทำกัวซาหน้าตัวเอง ด้วยพลังนิ้วมือของตนเอง
ที่เรียกว่าพลังนิ้วมือเพราะให้นำความรู้สึกตัว รับรู้ลมหายใจพร้อมการเคลื่อนนิ้วไปด้วยกันให้สัมพันธ์กัน
และสาธิต ให้ทำตามคำแนะนำ เมื่อเสร็จการทำกัวซา ใบหน้าตัวเอง ก็ให้พิจารณาความรู้สึกของการเปลี่ยนแปลง
ที่ใบหน้า นำความรู้สึกอยู่ที่ใบหน้าตัวเอง ทุกคนก็ช่วยกันตอบ บอกได้ว่ารู้สึกผ่าวๆ อุ่นๆ ตา รู้สึกเลือดมันวิ่ง
สว่างขึ้น เบาๆที่ใบหน้า ถามว่าชอบไหม ก็ตอบว่าชอบกันทุกคน และจะไปลองทำที่บ้านอีกครั้งจึงแนะนำว่า
หลังอาบน้ำทุกเช้า สามารถทำกัวซาใบหน้าให้ตนเองได้ หรือจะทำหลังอาบน้ำเย็นก็ได้ ก่อนนอนก็ดี
ภารกิจจิตอาสาร่วมงาน OPD MED ของฉันเช้านี้จบลงเมื่อเวลา 10.00 น.
ออกจากห้องนี้ก็ไปเยี่ยมแม่ของน้องผู้เคยร่วมงานในโรงเรียนเดียวกันในอดีต ที่ตึก 38 ปี ห้องวีไอพี
แต่เนื่องจากผู้ป่วยกำลังเข้าห้องน้ำจึงกลับมาห้องมิตรภาพ มีผู้ป่วยมารอพบพร้อมลูกชาย
และขอให้ช่วยแนะนำการทำสมาธิแบบเคลื่อนไหวมือก็ทำไปด้วยกัน สบายๆถึงเที่ยงจึงกลับได้รับคำตอบว่าทำแล้
สบาย โล่ง ก็สาธุ อนุโมทนากัน แผ่เมตตากัน
หลังเที่ยงขึ้นไปชั้น 8 ตึกใหม่ เพื่ออ่านหนังสือธรรมะให้ผู้ป่วยท่านหนึ่ง เราสนทนาทบทวนคำสอนของหลวงพ่อจรัล
และจบด้วยการทำสปาเท้าให้....... อ้อ...ลืมไปอย่างเมื่อเช้านี้มีเด็กๆจากโรงเรียนสคณ.มาร่วมกิจกรรม ช่วงเช้า 4 คน
เด็กๆบอกว่าอยากเรียนรู้จะได้เอาไปช่วยผู้สูงอายุในบ้าน และเพื่อนบ้าน ก็เรียนรู้ไปพร้อมกัน และช่วยให้คำแนะนำต่อ
ผู้ป่วยที่นั่งไกลๆ เรียกว่าเรียนรู้ต่อๆกันไป แต่ตอนขึ้นไปเยี่ยมผู้ป่วยบนตึกไม่ได้ให้เด็กๆตามไปเพราะระวัง
เรื่องการติดเชื้อ เนื่องจากผู้ป่วยที่ไปเยี่ยมนั้นอายุมากแล้วทั้งสองราย
คงขออนุญาตมอบให้เป็นภาระของน้องพยา่บาลวิภา อินทรณรงค์ได้แนะนำเด็กๆต่อไปค่ะ
พรุ่งนี้ หลังทำสมาธิแบบเคลื่อนไหวมือหาจังหวะแล้ว จะให้ทำกัวซาหน้าอีก เพราะผู้ป่วยกลุ่มใหม่
คิดว่าจะไม่มีใครมาหาหมอซ้ำในวันพรุ่งนี้แน่
คืนนี้พระจันทร์ทรงกลดสวยมากค่ะ ราตรีสวัสดิ์
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาแลกเปลี่ยนค่ะ
ขอบคุณบันทึกดีๆที่นำมาแบ่งปันกัน และส่งความสุขปีใหม่ ๒๕๕๖ ค่ะ
ภาพจากสายบริหารงานสื่อสารองค์กร SCB