Thanachart
นาย ธนชาติ แสงประดับ ธรรมโชติ

รวันดา : ชนชั้นกับความขัดแย้ง : บทเรียนของโลก บทเรียนของไทย ตอนที่ 3


รวันดา : ชนชั้นกับความขัดแย้ง : บทเรียนของโลก  บทเรียนของไทย ตอนที่ 3


                                                                                    ธนชาติ  แสงประดับ ธรรมโชติ

                                                                                    นักวิชาการอิสระเศรษฐศาสตร์การเมือง

                                                                                    เครือข่ายเสริมสร้างสังคมสันติสุข

                                                                                   [email protected]

 

น้อยคนนักที่จะรู้เกี่ยวกับต้นกำเนิดของชนเผ่าที่กลายเป็นประชาชนของรวันดาในยุคปัจจุบันเป็นเวลาหลายพันปีประชากรชาวแอฟริกันต่างชนเผ่าได้อพยพเข้าและออกภูมิภาคแห่งนี้  แต่เมื่อศตวรรษที่ 15 บรรพบุรุษของประชากรในยุคปัจจุบันได้เริ่มตั้งรกรากถิ่นฐานในภูมิภาคนี้อย่างถาวรชาวทวา เป็นนักล่าสัตว์และนักเก็บของป่า  ซึ่งดำรงชีวิตจากการอาศัยอยู่ร่วมกับสัตว์และพืชในภูมิภาคป่ารกขึ้นหน้าแน่นชาวฮูตูดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการทำเกษตรกรรม ครอบครัวชาวฮูตูอาศัยและเพาะปลูกในพื้นที่บางส่วนของประเทศเป็นหลักแหล่งทำการผลิตเพื่อให้เพียงพอต่อการบริโภคภายในครอบครัวเป็นหลักเท่านั้นชาวตุ๊ดซี่เป็นนักเลี้ยงปศุสัตว์เร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ จึงไม่ได้มีถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งถาวรแต่จะอยู่ในพื้นที่หนึ่งๆเพียงชั่วคราวเมื่อทุ่งเลี้ยงสัตว์ถูกใช้เลี้ยงสัตว์จนหมดประโยชน์แล้วชาวตุ๊ดซี่  ก็จะย้ายไปหาหลักแหล่งแห่งใหม่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบเร่ร่อนนี้บีบคั้นให้ชายชาวตุ๊ดซี่แข็งแกร่งกลายเป็นนักรบ
เพราะว่าจำเป็นต้องมีความสามารถในการต่อสู้ เพื่อปกป้องฝูงสัตว์  ปกป้องครอบครัวและปกป้องชุมชน  เมื่อพวกเขาได้เคลื่อนย้ายเข้าไปอยู่อาศัยในดินแดนแห่งใหม่

ประวัติศาสตร์บอกเล่า

เป็นการยากที่จะติดตามร่องรอยในประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมโดยเฉพาะหากวัฒนธรรมนั้นไม่ได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร  ในอดีตเป็นเวลาหลายศตวรรษประวัติศาสตร์ในช่วงแรกของรวันดาบันทึกไว้ในรูปแบบของประเพณีเก่าแก่เช่น เพลง คติพจน์และเรื่องเล่า หลังจากที่ประเทศมีชาวฮูตูและชาวตุ๊ดซี่มาตั้งรกรากถิ่นฐาน
การบันทึกไว้ด้วยวาจาเหล่านี้จะถูกต้องหรือไม่ไม่มีใครยืนยันได้ และไม่มีทางที่จะรู้ได้แน่นอนว่าความจริงเป็นเช่นไร
เมื่อเรื่องเล่าถูกส่งผ่านรุ่นต่อรุ่น เรื่องเล่าเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงไปบางครั้งการเปลี่ยนแปลงนี้ก็เกิดขึ้นทั้งโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ อย่างไรก็ตามในเวลาอื่นๆการเปลี่ยนแปลงนี้หมายถึงการได้รับประโยชน์ทางส่วนตัวหรือทางการเมือง นอกเหนือจากนั้นเหตุการณ์ของบ้านเมืองหรือเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ มีบางเรื่องหรือบางความเชื่อที่ถูกทำให้เชื่อและเลือกบันทึกไว้เท่านั้นเพื่อให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาและล้วนแล้วเป็นประโยชน์กับผู้ปกครอง  ส่วนที่ไม่มีประโยชน์กับผู้ปกครองมักจะไม่ได้รับการบันทึก

เรื่องเล่าที่สามารถติดตามได้เมื่อประวัติศาสตร์ช่วงต้นอาจไม่ได้เป็นตัวแทนความเชื่อของทุกๆคนในสังคมในช่วงนั้น
และไม่ทุกเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกไว้เช่นกันบ่อยครั้งที่บุคคลที่เรืองอำนาจอยู่จะเป็นผู้ควบคุมว่าเรื่องเล่าความคิดและความเชื่อใดที่จะบันทึกไว้ได้ ในช่วงแรกของการก่อตั้งประเทศรวันดานักประวัติศาสตร์ของราชสำนักจะยื่นเรื่องที่ถูกเลือกโดยราชวงศ์ตุ๊ดซี่ บันทึกเป็นประวัติศาสตร์ ในบางกรณีเรื่องเล่านี้ก็อคติหรือมีรากฐานมาจากตำนานซึ่งสร้างโดยชาวตุ๊ดซี่เพื่อสนับสนุนการปกครองของตน ดังนั้นเรื่องเล่าหลายเรื่องที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นประวัติศาสตร์ของรวันดาอย่างเป็นทางการโดยจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความคิดที่ว่าชาวตุ๊ดซี่เป็นชนชั้นสูงสุดและเป็นชาติพันธุ์ที่ถูกเลือกโดยพระเจ้าให้เป็นผู้ปกครอง

ตำนานเก่าแก่ของรวันดาเรื่องหนึ่งได้กล่าวถึงกิฮานกาชาวรวันดาคนแรกซึ่งตกลงมาจากสวรรค์พร้อมกับบุตรชายสามคน กาฮูตู  กัตวาและกาตุ๊ดซี่ จากตำนานนี้กิฮานกาจะต้องเลือกว่าบุตรชายคนใดจะเป็นผู้สืบทอดตระกูล
เพื่อที่จะรู้ว่าบุคคลใดเหมาะสมที่สุด  กิฮานกาจึงได้ทดสอบบุตรของตน บุตรชายแต่ละคนได้รับเหยือกนมคนละเหยือกให้ดูแลตลอดเวลาหนึ่งคืนเมื่อรุ่งเช้าวันต่อมากิฮานกา พบว่ากัตวา ดื่มนมของเขาทั้งหมดขณะที่ กาฮูตู ผลอยหลับทับเหยือกนมแต่กาตุ๊ดซี่ ได้เฝ้าดูเหยือกนมของตนตลอดคืน ดังนั้นสำหรับกิฮานกาแล้วกาตุ๊ดซี่เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบมากที่สุดและหมายถึงเขาเท่านั้นที่ต้องเป็นผู้สืบทอดตระกูล เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วกาฮูตูจึงต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของกาตุ๊ดซี่

เรื่องเล่าในตำนานและประวัติศาสตร์บอกเล่าของรวันดา  ล้วนแล้วเป็นกระบวนการสร้างความชอบธรรมให้กับบรรดาชนชั้นสูงและผู้ปกครองในการครอบงำทางความคิดและอุดมการณ์ต่อประชาชนเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าทุกคนในสังคมรวันดาต้องยอมรับความเป็นไปของชนชั้น และการดำรงอยู่ของชนชั้น 

การแบ่งแยกชนชั้น

ระบบสังคมในช่วงแรก ประชากรได้หลายๆครอบครัวจะรวมกลุ่มตั้งรกรากอาศัยและทำกินอยู่บนเนินเขาเพื่อที่จะอยู่รอดครอบครัวชาวฮูตูแต่ละครอบครัวจะมีลักษณะขยายเป็นกลุ่มเครือญาติเรียกว่า ตระกูล (clan ) ซึ่งจะร่วมทำงานด้วยกันในการปลูกพืช ผลผลิตเป็นของส่วนรวมมีหัวหน้าตระกูลเป็นผู้ดูแลจัดสรรแบ่งปัน ในบางกรณีตระกูลหนึ่งจะรวมกลุ่มด้วยกันกับตระกูลอื่นๆเพื่อที่จะสร้างอาณาจักรขึ้นมาปกครองโดยมีผู้นำขึ้นมาทำการปกครองเรียกว่า “บาฮินซา”(bahinza) ผู้ปกครองอาณาจักรเกษตรกรรมนี้มีอำนาจขยายไปทั่วชนบทแทนที่จะมีผู้ปกครองเพียงคนเดียวตลอดทั่วแผ่นดินรวันดากลับกลายเป็นว่ามีผู้ปกครองหลายคนด้วยกันแต่ละคนก็มีอำนาจเหนือตระกูลเฉพาะๆไป เช่นเดียวกันชาวตุ๊ดซี่ก็ดำรงชีวิตอยู่โดยการสร้างระบบตระกูลขึ้นมาในบางกรณีตระกูลหลายตระกูลอยู่รวมกัน  รวมทั้งได้รวมชาวฮูตูและชาวตุ๊ดซี่ไว้ด้วยกัน

ถึงแม้ว่าต้นกำเนิดของชาวฮูตูและชาวตุ๊ดซี่จะมาจากที่ใดไม่มีใครรู้แต่นักวิชาการในปัจจุบันเห็นด้วยว่าทั้งสองชนเผ่าไม่ได้ใช้ชาติพันธุ์ในการแบ่งแยกความแตกต่างทางชนชั้นแต่พวกเขาจะให้ความสำคัญกับประเภทของอาชีพเป็นสำคัญ  เพราะจะเป็นสิ่งที่แยกแยะว่าใครเป็นชาวนา  ใครเป็นนักเลี้ยงปศุสัตว์  การตรีตราแบ่งแยกนี้ได้บ่งชี้ความแตกต่างถึงสถานะทางสังคมอย่างชัดเจน

กรณีของชาวตุ๊ดซี่ ที่มีความสามารถทางการรบ  แสดงถึงอำนาจอภิสิทธิ์และความแข็งแกร่ง เพราะชายชาวตุ๊ดซี่เป็นนักรบที่มีความชำนาญและมีฝูงสัตว์ไว้ในครอบครองมากมายพวกเขาจึงเชื่อว่าพวกเขาเป็นผู้มีฐานะสูงกว่าชาวฮูตูที่เป็นเจ้าของฝูงสัตว์น้อยกว่าและมีความสามารถทางการรบด้อยกว่าการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ของฝูงสัตว์จึงแสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งร่ำรวยและบ่งบอกสถานะทางสังคมนอกจากนั้นทั้งสองชนเผ่าต่างก็ดูถูกชาวทวาซึ่งเป็นประชากรจำนวนเล็กน้อยของประชากรทั้งหมด(ชนส่วนน้อย)เพราะชาวทวาไม่ได้ทำนาและไม่ได้เป็นเจ้าของฝูงสัตว์แต่เป็นเพียงนักล่าสัตว์และเก็บของป่าเพื่อดำรงชีพเท่านั้น 

โครงสร้างทางสังคม

ถึงแม้ว่าชาวตุ๊ดซี่จะมีจำนวนน้อยกว่าชาวฮูตูมากแต่พวกเขาได้ใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายและการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วว่องไวเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการควบคุมสังคมซึ่งกลายเป็นประเทศรวันดาปัจจุบัน  การได้มาซึ่งอำนาจปราศจากการสู้รบที่รุนแรงจุดเริ่มต้นของการปกครองโดยชาวตุ๊ดซี่เริ่มจากตระกูลชาวตุ๊ดซี่ตระกูลหนึ่งคือ    ตระกูล “งิกินยา” ซึ่งเป็นตระกูลร่ำรวยเป็นเจ้าของฝูงสัตว์ขนาดใหญ่จึงต้องการที่จะขยายพื้นที่เลี้ยงปศุสัตว์ออกไปอีกเริ่มแรกตระกูลนี้ได้รับชัยชนะทางการเมืองในศูนย์กลางของรวันดาและเมื่อเวลาผ่านไปได้ขยายอำนาจผ่านทางความร่วมมือของตระกูลอื่นๆและแย่งชิงที่ดินมาจากชาวฮูตู

จนถึงทศวรรษที่ 1500 งิกินยาได้ก่อตั้งระบบราชาธิปไตยขนาดย่อมขึ้นนั่นคืออาณาจักรรวันดาในปัจจุบัน อันมีรากฐานมาจากพื้นที่เล็กๆของรวันดาภายใต้การปกครองของราชาเรียกว่ามวามิ (mwami) ราชาองค์แรกคือ มวามิ มิบามเวที่ 1 มูตาบาซิ (Mwami Mibambwe I Mutabazi) มวามิคือผู้ที่ถูกสรรเสริญว่าเป็นเทพมาเกิด  และเป็นเจ้าของที่ดินทั้งหมดในอาณาจักร  และเป็นผู้มีอำนาจควบคุมการจำแนกแจกจ่ายที่ดินให้แก่ราษฎร  โดยปกติแล้วมวามิจะให้รางวัลเป็นที่ดินแก่สมาชิกผู้สืบเชื้อสายตระกูลงิกินยาและชาวตุ๊ดซี่ชั้นสูงซึ่งมีอำนาจภายในการปกครองระบอบราชาธิปไตย  ซึ่งจุดศูนย์รวมอำนาจอยู่ที่ศูนย์กลางชาวตุ๊ดซี่จะมีทั้งนักเลี้ยงปศุสัตว์ ทหาร และเจ้าเมือง
ในขณะที่ชาวฮูตูดำรงชีพเป็นเพียงชาวนา

การบันทึกประวัติศาสตร์ทางสังคมทั้งหลายก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ปกครองชาวตุ๊ดซี่ในสถานะชนชั้นพิเศษ  ชาวตุ๊ดซี่ได้สร้างทั้งนิทานตำนาน เรื่องเล่า และกุศโลบายต่างๆเพื่อสร้างความชอบธรรมในการเป็นผู้ปกครอง และพิสูจน์ถึงพลังอำนาจของราชารวมทั้งเหตุผลในการมีอภิสิทธิ์ชนของชนชาวตุ๊ดซี่ที่มีเหนือชาวฮูตู ทั้งหลายทั้งปวงนี้คือกระบวนการครอบงำของชาวตุ๊ดซี่  ผู้มีอำนาจ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ตนอยู่ในสถานะที่เหนือกว่าและให้ชาวฮูตูยอมรับในความด้อยกว่า จนเป็นที่มาของการปกครองโดยลำดับชั้น

ที่จริงแล้วการปกครองโดยลำดับชั้นนี้คือระบบศักดินาซึ่งทางตอนใต้และตอนกลางของภูมิภาค  เรียกว่า อูบูฮาเก (Ubuhake)ทางตอนเหนือเรียกว่า อูบูคอนเด (Ubukonde) จากระบบการปกครองแบบนี้ทำให้ประชาชนทั้งชาวตุ๊ดซี่ผู้ถือครองที่ดินและชาวฮูตูซึ่งเป็นชาวนาได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่ายอูบูฮาเก(Ubuhake) เป็นข้อตกลงทางวาจาระหว่างไพร่(ราษฎร) และเจ้าขุนมูลนาย โดยไพร่ต้องสรรหาผลผลิตและรับใช้เจ้านาย (มูลนาย)และเพื่อเป็นการตอบแทนส่วนเจ้านาย(มูลนาย)จะให้ฝูงสัตว์แก่ไพร่และจะคอยปกป้องจากภัยอันตรายทั้งปวงรวมทั้งอนุญาตให้ไพร่ใช้ประโยชน์จากที่ดินได้ซึ่งเจ้าขุนมูลนายส่วนใหญ่เป็นชาวตุ๊ดซี่  ไพร่ส่วนใหญ่ก็คือชาวฮูตูถึงแม้ว่าอูบูฮาเก(Ubuhake) จะทำให้ทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์จากการอุปถัมภ์ต่อกันแต่สิ่งนี้ได้เป็นปฐมบทของการก่อกำเนิดการแบ่งแยกระบบสังคม เศรษฐกิจและการเมืองของชาวรวันดาอย่างรุนแรงระหว่างชาวฮูตูและชาวตุ๊ดซี่

ต่อมาการปกครองโดยชาวตุ๊ดซี่ที่มีเหนือชาวฮูตูนั้นยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอันเนื่องมาจากการพัฒนาการปกครองที่อาศัยโครงสร้างทางชนชั้นใช้อำนาจผ่านระบบชนชั้นที่ซับซ้อนขึ้น  ทำให้มวามิ” ประสบความสำเร็จในการปกครองอาณาจักรของตน  ยิ่งขึ้น

อาณาจักรของมวามิถูกแบ่งเขตปกครองออกเป็นชีฟซึ่งแต่ละชีฟได้สร้างสภาชีฟขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของมวามิ เขตแดนของมวามิ เรียกว่า อูมูโสซิ (Umusozi) ซึ่งซึ่งแบ่งไปตามเขตพื้นที่แต่ละพื้นที่จะบริหารโดยชีฟ และจะถูกแบ่งออกเป็นเขตอีกทีหนึ่ง โดยมีรองชีฟปกครองตัวมวามิเองก็มีชีฟผู้บริหารอีกคนชีฟกองกำลังทหารเป็นผู้รับผิดชอบในการปกป้องภูมิภาค ชีฟแต่ละเขตแดนจะมีหน้าที่เก็บส่วยกล่าวคือภาษีที่จ่ายให้เจ้านายโดยผู้อยู่อาศัยในแต่ละเขตในรูปของผลผลิตทางการเกษตรเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการคุ้มครองดูแลของเจ้านาย ชีฟปศุสัตว์มีหน้าที่เก็บส่วยในรูปของฝูงสัตว์

ผู้ปกครองทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งมวามิจะได้รับประโยชน์จากการเก็บภาษีเหล่านี้ มวามิเองได้ใช้ผลผลิตทางการเกษตรและฝูงสัตว์บางส่วนแจกจ่ายให้แก่ชีฟและผู้บัญชาการกองกำลังทหาร มวามิทำเช่นนี้ก็เพื่อได้รับความสวามิภักดิ์ตอบแทน ภายใต้ระบบปกครองลำดับชั้นที่ซับซ้อนเช่นนี้ทั้งผู้ปกครองสูงสุด ทหาร ชีฟ และรองชีฟล้วนแล้วแต่เป็นชาวตุ๊ดซี่ ขณะที่มีชีฟและทหารเพียงบางส่วนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่เป็นชาวฮูตู  โดย 95%ของการบริหารในลักษณะดังกล่าวนี้กระทำโดยชาวตุ๊ดซี่แทบทั้งสิ้น

หลายศตวรรษที่ชาวฮูตูและชาวตุ๊ดซี่ได้อยู่ร่วมกันภายใต้ระบบปกครองลำดับชั้นแบบนี้แม้จะมีความแตกต่างทางสถานะแต่ชนเผ่าทั้งสองอาจรวมกันเป็นหนึ่งได้เพราะมีลักษณะคล้ายๆกันพวกเขาใช้ภาษาเดียวกันคือ เคินยารวันดา มีประเพณีเหมือนกันและมีค่านิยมเหมือนกันอาจจะมีความเชื่อแตกต่างกันบ้างแต่ความแตกต่างนี้ปกติแล้วจะดำรงอยู่ระหว่างประชาชนที่มีสถานะเหลื่อมล้ำทางสังคมอยู่แล้วชาวฮูตูและชาวตุ๊ดซี่ยังบูชาพระเจ้าองค์เดียวกันอีกด้วย เรียกว่า ลินกอมเด้ (Lyngomde) และรวมถึงเทพเจ้าอีกหลายๆองค์เช่น ลิเยนกอมเด้และงาบิงงิ (Lyengomde
and Ngabingi) ความเหมือนกันหลายๆอย่างเช่นนี้ทำให้นักวิชาการเชื่อกันว่าชาวฮูตูและชาวตุ๊ดซี่เป็นกลุ่มชนเดียวกันและไม่ได้มีการแบ่งแยกทางชาติพันธุ์แต่อย่างใด

ระบบการปกครองลำดับชนชั้นทางสังคมของรวันดามิได้ก่อตั้งขึ้นมาจากพื้นฐานความเป็นชนเผ่าแต่มีพื้นฐานมาจากความร่ำรวยและสถานะทางสังคม โดยอาศัยสถานะจากการมีฝูงสัตว์ในครอบครองและการเป็นอภิสิทธิ์ชนของผู้เป็นเจ้าของฝูงสัตว์  โดยทั่วไปแล้วชาวตุ๊ดซี่เป็นเจ้าของที่ดินส่วนใหญ่และอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าในสังคมแต่ระบบอูบูฮาเก(Ubuhake)ก็เปิดโอกาสให้มีการเปลี่ยนแปลงทางชั้นทางสังคมได้เช่นกัน ซึ่งหมายความว่าชาวฮูตูเองสามารถผันตัวเองเป็นชาวตุ๊ดซี่ได้หากได้ครอบครองจำนวนฝูงสัตว์มากพอการใช้วิธีดังกล่าวนี้ทำให้บุคคลที่มีเชื้อสายจากเผ่าพันธุ์ชาวฮูตูมีสถานะทางสังคมเช่นเดียวกับชาวตุ๊ดซี่ได้เพราะพวกเขาก็จะได้รับการยอมรับจากสังคมว่าเป็นชาวตุ๊ดซี่ ในลักษณะเดียวกันชาวตุ๊ดซี่ที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยไม่ได้เป็นเจ้าของฝูงสัตว์จำนวนมากพอ  อาจได้รับการพิจารณาจากสังคมว่าเป็นชาวฮูตูได้เช่นกัน  สถานะทางสังคมจึงขึ้นกับเศรษฐกิจของบุคคลเป็นสำคัญมากกว่าความเป็นชาติพันธุ์ 

อย่างไรก็ตามแม้จะมีการอุปถัมภ์ต่อกันของคนต่างชนชั้นแต่ความท้าทายอย่างหนึ่งของ มวามิที่สำคัญ คือการทำให้แน่ใจว่าพลเรือนทั้งหมดมีความศรัทธาและบูชาตนดังนั้นการปกครองระบบศักดินาของรวันดาจึงทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์โดยการทำหน้าที่ดำรงการควบคุมเหนือประชาชนในแต่ละภูมิภาคเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นให้บูชาและศรัทธาผู้ปกครองและชนชั้นสูงในสังคมถึงแม้ว่าระบบนี้จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ปกครองแต่อำนาจนี้ไม่ได้ขยายไปถึงดินแดนทั้งหมดของอาณาจักรยิ่งดินแดนห่างไกลจาก มวามิเพียงใด ความศรัทธาของประชาชนก็ยิ่งลดน้อยลงตามไปด้วย เช่นในภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็นพื้นที่ที่ชาวฮูตูอาศัยอยู่จำนวนมากกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้ศรัทธาในตัวมวามิเท่าใดนัก  และยิ่งหลังจากการก่อตั้งระบบราชาธิปไตยของชาวตุ๊ดซี่ขึ้นมาแล้วเจ้าเมืองชาวฮูตูที่ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของผู้ใดก็ยังคงดำรงสถานะอยู่ในดินแดนของตนและพวกเขาก็ไม่ได้ยอมรับคำสั่งจากมวามิแต่อย่างใดเพราะขณะนั้นระบบอูบูฮาเก(Ubuhake) ไม่ได้มีอิทธิพลขยายไปถึงดินแดนดังกล่าว  จนกระทั่งศตวรรษที่ 19 ที่ระบบการปกครองของชาวตุ๊ดซี่ได้ขยายมาถึงดินแดนเหล่านี้ระบบอูบูฮาเก(Ubuhake) จึงเริ่มมีอิทธิพลตามมา

ความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันของโครงสร้างการปกครองเปิดโอกาสให้ผู้ที่อยู่เหนือกว่ามีอิทธิพลทางความคิดเกิดการครอบงำความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับความเหลือมล้ำต่ำสูง  ความเชื่อในบุญบารมีและโชควาสนาจนกลายเป็นพลังหนุนและตอกย้ำในการสร้างแบบแผนแห่งความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันขึ้นอีก
จนนำไปสู่การจัดชนชั้นของการดำรงชีพ การอยู่ การกิน  การใช้ภาษา การศึกษาการควบคุมกำลังคน การจัดแบ่งผลประโยชน์ และอำนาจหน้าที่ตามยศศักดิ์ในระบบราชการรวมทั้งโอกาสต่างๆ ซึ่งแบบแผนแห่งความสัมพันธ์ดังกล่าวกลายเป็นความชอบธรรมทางสังคม ส่งผลให้ความรู้สึกนึกคิดของคนในสังคมกลายเป็นระบบศักดินา ซึ่งระบบคิดของชนชั้นศักดินาก่อให้เกิดการแสดงออกทางการเมืองแบบศักดินา 
นั่นคือผู้ที่จะปกครองรวันดาต้องเป็นชนชั้นสูงเท่านั้นและเป็นชาติพันธ์อื่นไปไม่ได้นอกจากชาติพันธุ์ตุ๊ดซี่เท่านั้น............

 

*บทความแบ่งเป็น10 ตอน โดยแปลสรุปจาก World in conflict.  Rawanda : country torn apart. และนำมาเรียบเรียงใหม่เพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วนเพื่อความเข้าใจง่ายขึ้น นอกจากนั้นได้เพิ่มบทวิเคราะห์  ในตอนที่ 11

อ้างอิง : Bodnarchuk, Kari. World in conflict. Rawanda : country torn apart .

             Manufactured in the United States of America.By Lerner Publications Company.

....................................................................................................................



หมายเลขบันทึก: 513924เขียนเมื่อ 24 ธันวาคม 2012 11:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 ธันวาคม 2012 11:43 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท