"ผู้อื่นในตัวเรา" ... (วันที่ถอดหมวก : เสกสรรค์ ประเสริฐกุล)


เมื่อคืนได้มีโอกาสพูดคุยกับ "ใครสักคน" ที่เรารู้สึกยินดีที่จะได้คุยกับเขาเสมอ

เราพูดคุยในประเด็นของการทำความรู้จักสังคมให้มากขึ้น
เหมือนเรากำลังค้นหาอะไรบางอย่างที่ตนเองคิด
และคำตอบนั้นอยู่ที่ใคร อยู่ที่ไหน เราจะไปตามค้นหา

แน่นอนว่า ด้วยประสบการณ์ที่มากกว่าผมจึงได้บอกเธอไปว่า

"สิ่งที่เธอกำลังต้องการค้นหาอยู่นี่ เธออาจจะได้ค้นพบ
กับศาสตร์ที่เรียกว่า "สังคมวิทยา" อันเป็นศาสตร์ที่มนุษย์
พยายามทำความเข้าใจกลไกหรือระเบียบของสังคมอย่างลึกซึ้ง
เธออาจจะพบศาสตร์นี้ได้จากการเรียนต่อระัดับที่สูงขึ้น
หรือ ผู้รู้บางคน หรือ หนังสือบางเล่ม"


วันนี้ผมถือหนังสือเล่มหนึ่งไปอ่านที่งานโครงการหลวงด้วย

"วันที่ถอดหมวก" ที่เขียนโดย "อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล"

ผู้มีความเฉียบขาดในการวิเคราะห์สังคมในแง่มุมด่าง ๆ


อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล กล่าวว่า ...

"เนื้อหาของงานเขียนทั้งหมดแ้ม้จะเต็มไป
ด้วยเรื่องราวเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน
แต่สำหรับผมนับเป็นก้าวใหญ่ของการเติบโต"

คำว่า "เติบโต" ทำให้คิดถึงใครบางคนอย่างช่วยไม่ได้ เธอชอบใครคำนี้ที่สุด ;)...


เรื่องเล่าต่อไปนี้ อาจจะมีคำตอบของ "ใครบางคน" ที่ค้นหาอยู่บ้างก็ได้ ;)...



ผู้อื่นในตัวเรา


แม้ผมจะอยู่อย่างสันโดษเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็คบหามิตรสหายเป็นจำนวนมาก
ทำให้ได้รู้จักนิสัยใจคอของผู้คนที่แตกต่างหลากหลาย

แน่นอน เมื่อนับเป็นเพื่อน ผมย่อมยึดถือว่าพวกเขาเป็นคนดี
กระนั้นก็ตาม ผมอดสังเกตไม่ได้ว่าบางคนมีพฤติกรรม "ประหลาดพิกล"

ยกตัวอย่างเช่น คนหนึ่งชอบสะสมรถหรูหราราคาแพง ทั้ง ๆ รายได้ใช่ถึงขั้นมหาเศรษฐี
อีกคนหนึ่งชอบย้ายบ้านให้ไกลห่างเพื่อนพ้อง และทุกครั้งที่คุยกันว่าในโลกนี้มีสิ่งใดดี
เขาจะหาด้านลบมาหักล้างได้ทุกประเด็น ส่วนคนที่สาม อะไร ๆ ก็พอทน
แต่ชอบแต่งตัวตรงข้ามทฤษฎีความงามและกาลเทศะทั้งปวง ประมาณว่าท่อนบนใส่เสื้อหรู
แต่ท่อนล่างกลับนุ่งกางเกงหูรูดสีฉูดฉาด


ความที่สนิทกัน ผมจึงค้นพบว่าสิ่งเหล่านี้มีที่มาที่ไปแต่ละคนล้วนมีความในใจบางอย่าง
เป็นแรงขับเคลื่อนนิสัยแปลก ๆ เหล่านั้น บ้างเคยถูกญาติแฟนเก่าหมิ่นหยามเรื่องความจน
บางคนเคยเจ็บปวดมาจากชีวิตสมรส และอย่างน้อยมีหนึ่งคนที่เกิดมามีเงิน
แต่เบื่อวัฒนธรรมสำเร็จรูปของคนรวย กระทั่งอยากทำทุกอย่างตรงข้าม

ผมเคยเอาเรื่องราวของมิตรสหายเหล่านี้มาขบคิดอยู่เงียบ ๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งพบว่า
จริง ๆ มันไม่ใช่เรื่อง "ประหลาดพิกล" แต่อย่างใด หากพวกเขาจะผิดแผกแตกต่างจากคนอื่นบ้าง
ก็คงเฉพาะรายละเอียดรูปธรรมของกรณี ทว่าโดยเนื้อแท้แล้ว ใครจะปฏิเสธได้ว่านี่มิใช่ปรากฎการณ์ทั่วไป

คนเราเกิดมามีชีวิตกี่เสี้ยวส่วนเป็นตัวของตัวเอง หลายอย่างทำไปเพื่อสนองความคาดหวังของผู้อื่น
หรือไม่ก็เพื่อประชดต้านข้อเรียกร้องที่สนองไม่ได้ เท่านั้นยังไม่พอ มีบ่อยครั้งที่คนชอบคนชัง
ซึ่งเคยคาดหวังหรือหยามหมิ่น ล้วนแยกจากไปหมดแล้ว แต่เราก็ยังคงทำทุกอย่างตามแรงกดดัน
ที่ตกค้างโดยมิกล้าเปลี่ยนแปลง


ด้วยเหตุนี้ในแง่หนึ่งใช่หรือไม่ว่าชีวิตของทุกท่านเหมือนมีคนแอบ "สั่งการ" อยู่หลายคน?


เริ่มตั้งแต่เยาว์วัย พ่อแม่ต่างฝากฝังให้เป็นโน่นเป็นนี่บ้างอยากให้ช่วยลบปมด้อยของบรรพชน
ไม่เคยเรียนหนังสือก็อยากให้เรียนแทน ไม่เคยมั่งคั่งก็อยากให้รวยแทน และที่หนักหน่วงกว่าคือ
บางทีอยากให้ลูกทำทุกอย่างเหมือนตัวเอง

ผมรู้จักคนจำนวนไม่น้อยที่เกิดมาเหมือนไม่เคยเกิดเพราะผ่านวันเวลา
ด้วยการเอาชีวิตพ่อแม่มาผลิตซ้ำแทบทุกประการ

ครั้นเติบโตเป็นหนุ่มสาว ความอยากรักและอยากถูกรัก ทำให้คนส่วนใหญ่ยังต้องแบกความฝันของผู้อื่น
แบกสำเร็จก็มีล้มเหลวก็มาก บางท่านคนรักจากไปนานแล้ว ยังมิกล้าวางความฝันที่อีกฝ่ายหนึ่งทิ้งไว้

บางคนทุ่มชีวิตสร้างสมบัติพัสถานเพราะเจ็บใจที่แผนเก่าเคยปรามาส บางคนเปลี่ยนคนรักมาหลายครั้ง
ยังไม่กล้ามีความสุขกับปัจจุบัน พอตกค่ำเมามาย ได้แต่ค้างแรมกับ "ความทรงจำ" อะไรทำนองนี้

สุดท้าย เมื่อสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้ในบางวงการ เรื่องกลายเป็นว่าตั้งแต่หัวจรดเท้าและตั้งแต่เช้าจนเย็น
วันเวลาของท่านกลับถูกล่ามร้อยไว้ด้วยความคาดหวังของผู้อื่นทั้งสิ้น ทุกคนเข้ามาขอให้ทำเรื่องนี้
จนดู ๆ ไปแล้วเปรียบเสมือนในตัวท่านมีแต่ผู้อื่นแอบเข้ามาใช้ชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ที่มิกล้า
และมิอาจใช้ชีวิตของพวกเขาเอง


ถามว่า แล้วท่านทำสิ่งเดียวกันหรือไม่ เคยแทรกตัวเข้าไปในชีวิตผู้อื่นหรือไม่?
คำตอบคือ ย่อมต้องเคย ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว กระทั่งมีอยู่ไม่น้อยที่เสพติดแบบแผนความสัมพันธ์เช่นนี้
ทำไปทำมาทั่วทั้งสังคมผู้คนจึงพบกับแรงกดดันจากรอบทิศทาง ในตัวท่านมีผู้อื่น ในผู้อื่นมีตัวท่าน
ทุกฝ่ายล้วนช่วงชิงเบียดแบ่งชีวิตที่มิใช่ของตน

สภาพที่เกิดขึ้นก็คือ หลายคนอยากถอนตัวออกจากตาข่ายกรรมดังกล่าว แต่น้อยคนทำได้สำเร็จ
ส่วนใหญ่แล้วได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน ยามคล้อยตาม ท่านสูญเสียอิสรภาพ ยามปฏิเสธ ท่านกลายเป็น "ขบถ"
โดดเดี่ยวไร้คนเข้าใจ มันเป็นริ้วแส้ที่เฆี่ยนตีกันมาเป็นลูกโซ่จากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง จากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง
ส่งต่อไปทั่ว จนแทบจำแนกแยกแยะไม่ออกว่ามีจุดเริ่มต้นอยู่ ณ ที่ใด


ถามต่อไปว่า แล้วทางออกมีบ้างไหม? อันที่จริงมีอยู่และไม่จำเป็นต้องนำไปสู่การสิ้นสลายของสัมพันธภาพ

การมีผู้อื่นในตัวเรา และมีเราอยู่ในผู้อื่น ยังมีด้านที่จริงกว่า ดีกว่า และสวยงามกว่าที่เป็น อยู่มากมายหลายเท่า
แต่ทุกคนจะต้องเริ่มต้นด้วยการทำตัวเองไม่ให้มีใคร ไม่มีแม้กระทั่งตัวตน นี่เป็นกลยุทธ์ของฟ้าดิน
ที่ท่านจะต้องไม่มีอะไรเลยเพื่อจะได้มีทุกอย่างตามหลังมา

พูดให้ชัดขึ้นก็คือ ทุกคนคงต้องเริ่มต้นด้วยการสำรวจตัวเองว่าที่ยอมให้ความต้องการของผู้อื่นมากดดันนั้น
ลึก ๆ แล้วเป็นเพราะมุ่งหวังสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นวัตถุเงินทอง ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต หรือความรัก
การยอมรับ และความเข้าใจ ฯลฯ จากนั้นจะพบว่าในทุกกรณีล้วนเป็นท่านนั่นแหละที่ยอมเสียอิสรภาพ
เพื่อแลกกับบางสิ่งบางประการ

เช่นนี้แล้ว วิธีเดียวที่จะทำให้คนอื่นครอบงำท่านไม่ได้คือ การไม่ปรารถนาอะไรจากพวกเขา
เมื่อไม่ปรารถนาสิ่งใด คนอื่นไม่เพียงต้องถอนแรงกดดันออกไป
แม้แต่ตัวท่านบัดนี้ยังต้องถือว่า ถอนตัวจากตนเอง


ถอนตัวจากตนเอง ในโลกมีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือ?

มีแน่นอน และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเป็น "ตัวของตัวเอง"


ใช่หรือไม่ว่าเมื่อเลิกต้องการสิ่งต่าง ๆ จากผู้อื่น ท่านย่อมก้าวหน้าพ้นโซ่ตรวนภายนอก
และเมื่อเลิกยึดติดในความต้องการของตัวเอง ท่านย่อมหลุดพ้นจากพันธนาการภายในชีวิตเช่นนี้
หากไม่เรียกว่าอิสรภาพ ย่อมไม่ทราบว่าจะเรียกหามันว่ากระไร

จากนั้นเมื่อเริ่มทบทวนความสัมพันธ์ทั้งปวง ท่านจะพบว่า ตัวเองสามารถสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้
ด้วยความโปร่งโล่งมากกว่าเดิม ทุกอย่างเป็นเรื่องจริงแท้ รักเพราะอยากรัก ให้เพราะอยากให้
เพราะไม่หวังจะได้สิ่งใดกลับมา...
ยิ่งไปกว่านี้ เนื่องเพราะไม่มีผลประโยชน์ทั้งทางวัตถุและจิตใจ
ท่านจึงกล้าท้วงติงผู้คนทั้งห่างไกลและใกล้ชิด รวมทั้งสามารถเลือกตอบสนองเฉพาะเรื่อง
ที่ท่านเห็นด้วยอย่างแท้จริง


สิ่งมหัศจรรย์ในเรื่องนี้ก็คือความที่ท่านไม่มีตัวเอง หรืออย่างน้อยไม่ยึดถือตัวเองเป็นศูนย์กลาง
ของความต้องการพื้นที่ที่ท่านเหลือไว้ให้ผู้อื่นจึงมากมายไร้ขอบเขต กลายเป็นว่าชีวิตท่านกลับเป็น
หนึ่งเดียวกับผู้คน หนึ่งกับทั้งหมดแยกกันไม่ออก อิสรภาพของปัจเจกกับเอกภาพขององค์รวม
กลายเป็นเรื่องเดียวกัน

ใช่ การมีผู้อื่นอยู่ในชีวิตของเราและมีตัวเราอยู่ในชีวิตของคนอื่นนั้น ถึงอย่างไรคงเป็นเรื่องเลี่ยงไม่พ้น
เพราะท้ายที่สุดแล้วไม่ว่ามองจากทางโลกหรือทางธรรม ความเกี่ยวโยงระหว่างคนกับคน
เป็นทั้งความจริงและความจำเป็นของการมีชีวิตอยู่

ประเด็นมีอยู่เพียงว่า จะจัดความสัมพันธ์เหล่านี้กันอย่างไร


พูดก็พูดเถอะ การครอบงำที่มนุษย์ทำต่อกัน แท้จริงแล้วนับเป็นความสัมพันธ์ทางอำนาจอย่างหนึ่ง
แต่มันไม่ได้เกิดจากโครงสร้างทางสังคมอย่างเดียว ต้นตอบ่อเกิดที่ใหญ่โตกว่ากลับอยู่ในใจคน


ในเมื่อเหตุเกิดข้างในก็ต้องดับจากข้างใน


ตุลาคม ๒๕๔๘


..........................................................................................................................................................................

ทบทวนตนเอง ...


ผมคิดว่า เราเคยเป็นใช่ไหม "ผู้อื่นในตัวเรา" และ "ตัวเราในผู้อื่น"
พ่อแม่ถ่ายทอดสิ่งที่ขาดของท่านให้เรา และเราก็ดำเนินการตามที่ท่านต้องการ

จนผมเคยเห็นหลายคนไม่รู้จัก "ตัวตน" ของตัวเองใีนที่สุด

ผมอาจจะโชคดีที่สามารถเลือกทางที่ตนเองคิดได้
วางเป้าหมายอนาคตของตัวเอง
และทำมันสำเร็จ

ถึงแม้อาจจะใช้เวลามากกว่าคนอื่น
แต่ก็ไม่ได้รีบเร่งเกินไป

ทำทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไปเสมอมา

พ่อ แม่ ให้โอกาสและทางเลือกให้กับผม

ผมถือว่า ตัวเองโชคดี

เมื่อมาเป็นครูมหาวิทยาลัย สิ่งที่ผมทำได้คือ ปลูกฝังสิ่งที่คิดว่าดีลงไปในตัวลูกศิษย์
แต่นั่นก็ไม่ได้ความถึงการบังคับให้คิดตาม

เพราะผมคงไม่ได้อยู่กับเขาตลอดชีวิตกับเขา

สิ่งที่พยายามสอน คือ การเป็นคนดี ลูกที่ดี และครูที่ดี
การพยายามทำให้สังคมมันเจริญงอกงามมากขึ้น

ก็เท่านั้น


ปัจจัยเกิดจากภายใน ต้องดับจากภายใน

เช่นนั้นจริง


บุญรักษา ทุกท่านครับ ;)...


..........................................................................................................................................................................

ขอบคุณหนังสือ...

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล. วันที่ถอดหมวก. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: สามัญชน, ๒๕๕๐.


หมายเลขบันทึก: 513568เขียนเมื่อ 21 ธันวาคม 2012 09:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 ธันวาคม 2012 16:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

ซึมซับความหมาย ในระหว่างบรรทัด ด้วยใจระทึก

เมื่อหลายปีก่อน เพื่อนเล่าให้ฟัง เนื้อหาประมาณนี้

แต่ชื่อหนังสือคือ "เสือ" ของท่านผู้นี้เช่นกัน

ฟังเพื่อนแล้ว ชอบใจนะ แต่แปลกใจว่า...

ทำไม ไม่เคยขวนขวายหาหนังสือของท่านมาอ่านเองเลย

อ่านบันทึกนี้แล้ว คงต้องไปหาอีกหลายๆเล่มมาไว้อ่านเสียแล้ว

ขอบคุณมากๆค่ะอ.วัส ณ เสือโหด ที่หามาฝากกัน :)

ซาบซึ้งในความหมาย "คนอื่นในตัวเรา"
เป็นอย่างนี้จริงๆค่ะ ถูกฝากความฝัน ผูกติดกับความหวัง
ถูกหลอมความคิด และทางเดินชีวิต ... ^_^

เรียน คุณ Tawandin ;)...

หนังสือของท่านอาจารย์เสกสรรค์ ผมมิได้อ่านในเล่มแรก ๆ ที่เป็นการต่อสู้ทางการเมืองมากนักครับ แต่ผมกลับชอบงานเขียนของท่านในช่วงหลัง ๆ นับตั้งแต่ "ผ่านพบไม่ผูกพัน" จนถึง "วันที่ถอดหมวก" อันเป็นตัวอักษรที่เข้าถึงจิตวิญญาณของมนุษย์มากขึ้น เป็นสัจธรรม ฟังแล้วก็เข้าใจง่าย ๆ ครับ

โปรดลองติดตามดูครับ ;)...

บทความนี้เป็นประโยชนต่อ เอื้องแสงฝาง โดยตรง ณ วัยเพียงเท่านี้ครับ ;)...

เป็นแฟนหนังสือของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ค่ะ

อ่านหนังสือเช่นไร ก็มีความคิดเช่นนั้น

ขอบคุณครับ kunrapee ;)...

สรุปตามความเข้าใจคือ

เมื่อสติเราไม่ต่อเนื่อง ประสิทธิภาพในการ เลือก ของเราจะลดลง

ความคิดของผู้ที่เราให้อำนาจ จะมีอิทธิพลกับ การเลือกของเราแทน

ซึ่งการให้อำนาจแก่เขานั้น เป็นการแลกเปลี่ยนความต้องการบางอย่างของเราเอง

ดังนั้นความต้องการของเราเป็นเงื่อนไขผูกตัวเราเอง .....

เพื่อให้เราเลือกได้เที่ยงตรง............ เราต้องตัดความต้องการที่ไม่สมเหตุสมผลออกไป ขอบคุณมากค่ะ

อ่ะ ... ใครสักคน ;)...

ขอบคุณที่เดินทางเข้ามาในบันทึกนี้ครับ ;)...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท