การบริหารงานแบบสไตล์ญี่ปุ่นนะคะ
วันนี้ตาอยากแชร์ประสบการณ์ของตัวเองนะคะเกี่ยวกับหลักการบริหารงานของคนญี่ปุ่นนะคะ จากประสบการณ์ตรงที่มีโอกาสได้ไปศึกษางานด้านการบริหารที่ญี่ปุ่นมานะคะ มันทำให้ตาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมญี่ปุ่นถึงสามารถยืนอยู่เป็นเจ้าเศรษฐกิจได้นะคะ ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่าญี่ปุ่นมีแผนกลยุทธ์ที่ดีนั้นเองค่ะ และแผนกลยุทธ์อีกแนวหนึ่งที่น่าสนใจมากนะคะ ที่ตาจะขอหยิบยกมากล่าวถึงนะคะ ส่วนตัวแล้วตาก็คนหนึ่งที่หลงเสน่ห์ในการทำงานของคนญี่ปุ่นมากนะคะ ยังแอบคิดในใจเลยว่าถ้าที่บ้านของเรานะคะ มีการวางแผนที่ดีนะคะ เราคงไม่ต้องมาพบเจอกับปัญหาอุปสรรคทางสังคมมากมายอย่างเช่นทุกวันนี้นะคะ เนื่องจากสภาพที่ว่าภูมิประเทศบ้านเรานะดีกว่าญี่ปุ่นเป็นหลายร้อยพันเท่านะคะ มีทรัพยากรที่ดีนะคะ ฉันเป็นคนไทยที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่อยากจะพูดเลยนะคะ ว่ามีสินค้าเกษตรมากมายที่มาวางขายที่นี่นะคะ มีสินค้าหลายตัวที่มาจากบ้านของเรานะคะ เห็นไหมว่าคนญี่ปุ่นยังต้องพึงพาวัสดุดิษจากบ้านเราเลยนะคะ ฉันนั่งกลับคิดว่าถ้าบ้านของเรานะคะมีแนวคิดที่ดีนะคะ มีผู้นำที่ดีนะคะ มีหัวทางการบริหารและการจัดการที่ดีนะคะ บ้านของเราก็จะเติบโตและยิ่งใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆจนกลายเป็นประเทศมหาอำนาจในภูมิภาคเอเซียก็ได้นะคะ จากการที่ตัวเองได้มีโอกาสไปศึกษาและดูงานดังกล่าววันนี้ขอหยิบยกเอา "Hoshin Kanri" มาแชร์นะคะ
ไม่รู้ว่ามีใครบ้างที่มีโอกาสจะได้ไปศึกษา และได้ดู โอชิน กันบ้างนะคะ เพราะในช่วงหลังการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ญ๊่ปุ่นบ้างนะคะ ถ้าท่านได้ดู โอชิน แล้ว ตาเชื่อว่าเราคงมีแรงบันดาลใจมากขึ้นนะคะ และคงได้เห็นการต่อสู้กับความโชคร้ายแบบ โอชินด้วยนะคะ เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มต้นมาจาก โอชิน นั้นเองค่ะ ตาคิดว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า Hoshin Kanri กันมาบ้างแล้วนะคะ เพราะคำนี้จะติดกันมากในกลุ่มงานของการบริหารงานบริหารองค์หรือธุรกิจนั้นเองนะคะ ซึ่งเป็นการพูดถึงการวางแผนกลยุทธ์ การบริหารกลยุทธ์ นั้นเองค่ะ หรือเราอาจจะเรียกได้ว่ามันเป็น "หัวใจหลักของการบริหาร" ก็ว่าได้นะคะ
Hoshin Kanri คืออะไร ?คำว่า “Hoshin Kanri” นั้น
ดูจะเป็นคำใหม่สำหรับนักบริหารในประเทศไทยอยู่พอสมควร
หากแต่ถ้าเป็นการแปรนโยบาย (Policy Deployment) การวางแผนกลยุทธ์
(Strategic Planning) การบริหารกลยุทธ์ (Strategic Management)
คำเหล่านี้ดูจะคุ้นหูและคุ้นเคยกว่า แต่ในขณะเดียวกัน
ก็คงไม่อาจบอกได้เต็มปากว่า Hoshin Kanri
มีความหมายเหมือนกันกับสิ่งเหล่านั้น 100% หรือเปล่าตามความเข้าใจนะคะ เนื่องด้วย การบริหารนโยบายสไตล์ญี่ปุ่น หรือ Hoshin Kanri นั้น
มีความหมายกว้างกว่าการวางแผนกลยุทธ์หรือการบริหารกลยุทธ์ กล่าวคือ Hoshin
Kanri เป็น“ระบบเพื่อมุ่งให้เกิดการบรรลุ วัตถุประสงค์ขององค์กรหรือผู้บริหารโดยส่งเสริมและเชื่อมโยง ศักยภาพ ความสามารถขององค์กร ให้เกิดสมรรถนะที่สูงขึ้นด้วย การกระจายนโยบายไปสู่การปฏิบัติ อย่างมีเอกภาพให้ เกิดการใช้ทรัพยากรหลักอย่างคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด
โดย อาศัย แนวความคิดด้านคุณภาพ และวงจรการพัฒนา PDCA (PDCA Cycle)” นั้นเองค่ะ
ดังนั้น Hoshin Kanri จึงเป็นระบบการบริหารนโยบายที่คำนึงถึง
ทิศทาง (Direction) เป้าหมาย (Target) และวิธีการ (Means) ไปพร้อมๆ กัน
โดยเน้นการทำงานร่วมกันของทรัพยากรทั้งหลายขององค์กร ด้วยแนวคิดด้านคุณภาพ
เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุด อันหนึ่งอันเดียวกันขององค์กรเช่นกันนะคะทำไมต้องเป็น Hoshin Kanri ด้วย ? เพราะ
เพราะหนึ่ง Hoshin Kanri
ช่วยให้ทิศทางและเป้าหมายขององค์กร
เป็นไปในทิศทางเดียวกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ และภาวะแวดล้อมขององค์กร
รวมไปถึงทำให้องค์กรเกิดการพัฒนาอย่างชัดเจน
เพราะสอง Hoshin Kanri
ทำให้ผู้บริหารสามารถเพ่งความสนใจในกลยุทธ์ซึ่งมีความสำคัญอย่างแท้จริงได้
อย่างเหมาะสม (คือ ช่วยในการลำดับความสำคัญของกลยุทธ์
และการตัดสินใจนั่นเอง)
เพราะสาม Hoshin Kanri ทำให้เกิดแผนและการปฏิบัติการ ที่นำไปสู่การลดช่องว่างระหว่าง สถานะปัจจุบันขององค์กร กับความคาดหวังขององค์กร
เพราะสี่ Hoshin Kanri ช่วยทำให้ความคาดหวัง
(วิสัยทัศน์) ขององค์กร ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นระบบ
และสามารถกำหนดทรัพยากรที่จำเป็น และระดมทรัพยากรอย่างเหมาะสมตามความสำคัญ
เพราะห้าHoshin Kanri เน้นวิธีการ การดำเนินการ การวัดและติดตามผล ในการบรรลุถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ขององค์กร
เพราะหก Hoshin Kanri ทำให้องค์กรเกิดความชัดเจนในความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากแผนที่วางไว้ และการดำเนินการตามแผนเหล่านั้น
เพราะเจ็ด Hoshin Kanri มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ หรือแผนพัฒนาขององค์กร
มาลองดู CAPD ของวงจร PDCA ใน Hoshin Kanri กันดูนะคะ จะเห็นได้ว่าเขาเน้นการใช้วงจร PDCA อย่างชาญฉลาด โดยแนะนำให้วงจร PDCA ในลักษณะ C-A-P-D กล่าวคือ เริ่มวงจร PCDA ที่ C ก่อน ด้วยเหตุที่ว่า การตรวจสอบสถานะ (C: Check) ปัจจุบันขององค์กรควรเป็นจุดเริ่มต้นในกระบวนการกำหนดนโยบายหรือกลยุทธ์ เพราะหากไม่รู้จักตนเองอย่างชัดแจ้งแล้ว ย่อมไม่อาจวางแผนใดๆ ที่เหมาะสมกับตัวเองได้เช่นกันนะคะ คือ ย่อมไม่สามารถสร้างแผนพัฒนาองค์กรที่มีความเป็นไปได้ที่จะดำเนินการ และบรรลุผลได้นั่นเอง
สำหรับ A (Action)-P(Plan)-D (DO) นั้น ก็จะมีการใช้งานตามปกติของวงจร PDCA คือ ภายหลังการประเมินตนเองเป็นที่ชัดเจน ด้วยข้อมูล ด้วยความใจกว้างและเป็นธรรมแล้ว จึงลงมือปฏิบัติการแก้ไข (A:Action) ปัญหาหรืออุปสรรคเฉพาะหน้าในระยะสั้น ที่สามารถลงมือกระทำได้ในทันที จากนั้น จึงทำการวางแผน (P:Plan) กำหนดเป้าหมายความคาดหวังขององค์กร และแปรเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบ เป้าหมายการปฏิบัติการโดยลำดับ ที่มีความสัมพันธ์กันไปในแต่ละชั้นการบริหาร จากนั้น ก็ลงมือปฏิบัติตามแผนนั้น D (DO) ซึ่งหลังจากนี้ไปก็เป็นการหมุนวงจร PDCA ตามปกตินะคะ
ป.ล. ...(โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ วันนี้จบแบบดื้อๆๆก่อนนะคะ )
ไม่มีความเห็น