ป้าพิกุล CEO วัดแพร่แสงเทียน


วัดแพร่แสงเทียน

ชีวิตของเรามีค่ามาก แต่คนส่วนใหญ่จะมองข้ามไป น่าสงสารชีวิตตนเองแท้ๆ เอาไปฝากไว้กับสิ่งโน้นสิ่งนี้ ไม่มีใครมองดูตัวเอง ลืมตัวเองตลอด เราต้องการอะไรแน่ในชีวิตนี้ั เรามีครอบครัว มีสมบัติ
ถามจริงๆว่า มีความสุขไหม 
ให้ถามตัวเองดู
บางคนมีสมบัติมาก แต่ต้องพึ่งยานอนหลับตลอด
ทำไมจึงนอนไม่หลับ เพราะในจิตนั้นเต็มไปด้วยขยะ เต็มไปด้วยอารมณ์ ไม่เคยซักฟอก ไม่เคยขัดเกลา 
ชีวิตหมักหมมกับสิ่งสกปรก
นอนก็ทุกข์ กินก็ทุกข์ หน้าตาไม่ผ่องใส แบกโลก แบกตัวเอง แบกขันธ์ห้า และแบกคนอื่นอีก 
จึงอยากจะให้พิจารณาดีๆ 
เราต้องการอะไร


จากหนังสือ เรียนลัดการฝึกสติ
อุบาสิกาพิกุล มโนเจริญ (ป้าพิกุล)

ผมได้มีโอกาสไปเจอป้าพิกุลตัวจริง ที่วัดแพร่แสงเทียน เมื่อวันที่ ๒ - ๑๒ พ.ย. ๒๕๕๕ ตอนกลับเมืองไทยเป็นเข้ากรรมฐานแบบฝึกสติสายหลวงพ่อเทียน นับว่าเป็นบุญเป็นวาสนาครับ
ป้าทำทุกอย่าง เริ่มตั้งแต่เป็นคนทำอาหาร  เป็นคนรับโทรศัพท์ เป็นคนจองตั๋วรถเมล์ให้ลูกหลานๆให้กลับภูมิลำเนา  เป็นคนส่งรถไปรับ  เป็นคนสอนกรรมฐาน  เป็นวิทยากรบรรยายธรรม  
ที่ให้กำลังใจคนมาปฏิบัติธรรม  ป้าพิกุลถ้าไม่ได้อยู่ในห้องครัวแล้ว  จะต้องเห็นป้าถือมือถือติดต่องานต่างๆเป็นประจำ ใครโทรมาที่วัดก็ต้องโทรเข้ามือถือป้าพิกุล  
 ผมไปเรียนถามท่านเจ้าอาวาสพระอาจารย์กระสินธุ์ว่าจะติดต่อท่านได้อย่างไร  ท่านก็ให้ไปถามป้าพิกุล   
โดยเฉพาะพวกผู้หญิงที่มาปฏิบัตืธรรม  ป้าจะมาคอยสอดส่องดูแล ตรวจตราการปฏิบัติอยู่เสมอ ถ้าไม่ปฏิบัติจริงๆแล้ว  
ป้าจะมาเตือนว่า  เวลาพวกคุณมันเหลืออยู่น้อยให้ปฏิบัติมากๆ  อย่างเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
มีวันหนึ่งผมคิดอะไรไม่ออก  เพราะเดินจงกลมตอนกลางวันแล้วมันจะหลับท่าเดียว  เลยไปบอกแม่ครัวว่า ผมนี้ผมขอกล้วยน้ำหว้าเป็นสักสี่ห้าใบ  จะเอาไว้ไปกินเป็นอาหารกลางวัน  
ขออนุญาตไม่กินข้าวกลางวันสักมื้อ  ดูสิว่าถ้าไม่กินอาหารกลางวันแล้วมันจะง่วงนอนอีกไหม  แม่ครัวก็ยิ้มแล้วอนุญาตให้ผมหยิบกล้วยกลับไปที่พักผม
พอตอนกลางวัน ผมกลับไปที่พักเพื่อพักผ่อนส่วนตัว  เห็นอาหารมีผลไม้  นม ยาคูลส์ รอผมอยู่แล้วที่เตียงในห้องผม สืบไปก็ได้ความว่า ป้าพิกุลเอามาให้ผม  
ท่านบอกผมภายหลังว่าเป็นห่วงกลัวหิว จะไม่มีแรงเดินจงกลม (ห้า-หก ชั่วโมง) ในตอนกลางวัน เลยเอาอาหารมาให้ผมด้วยตนเอง  บริการถึงห้อง ด้วย CEO ของวัดแพร่แสงเทียนด้วยตนเอง  หาไม่ได้อีกแล้วครับ
ก่อนวันจะกลับหนึ่งวันผมถามป้าว่า ผมขอการบ้านไปทำหน่อย  เพราะไม่ก้าวหน้าในการปฏิบัติเลยเลย  ป้าบอกว่า  วันพรุ่งนี่คุณนั่งทำจังหวะตลอดสามชั่วโมง  
อย่าได้เปลี่ยนท่าในการนั่งเป็นอันขาด อย่านั่งสมาธิเพราะจะเจ็บขาเจ็บเข่า  ให้นั่งบนเตียงเหมือนนั่งบนเก้าอี้  ป้าให้การบ้านคุณ คุณไปทำตามก็แล้วกัน
ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น  ผมตื่นสี่สาม เริ่มนั่งทำจังหวะทันที  ก่อนทำตั้งสัจจะอธิฐานว่า วันนี้ขอนั่งทำจังหวะไม่เปลี่ยนท่านั่งจนกว่าระฆังจะตีให้ไปทานอาหารเช้า 
 ซึ่งก็จะเป็นเวลาเจ็ดโมงเช้า  ผมก็จะได้ได้นั่งปฏิบัติสี่ชั่วโมงเต็มๆ
นั่งทำจังหวะจนเพลิน  เช้าก็เช้าแล้ว  ระฆังก็ไม่ดังเสียที  มองหานาฬิกาก็มองไม่เห็นเวลา  นั่งจนก้นพอง  เจ็บก็เจ็บ  ได้ยินเสียงพระมากวาดใบไม้ข้างๆห้อง  
เหงื่อกาฬเริ่มตก เพราะรู้ว่าถ้าพระมากวาดใบไม้ แสดงว่าต้องเป็นเวลาแปดโมงแล้ว  ผ่านเวลาระฆังไปได้อย่างไร  ทำไมเราจึงไม่ได้ยินระฆังวันนี้  ถ้าไม่ได้ยินระฆังตอนเช้า 
 ก็ต้องไปได้ยินตอนทานอาหารกลางวัน  ซึ่งก็จะต้องเป็นเวลาสิบโมงเช้า  นี่เราจะต้องนั่งไปอีกสองชั่วโมง  โดยไม่ต้องเปลี่ยนท่านั่ง  ใจหายวาบ  ท่าจะแย่แล้วเรา
นั่งทำจังหวะต่อไม่ได้ยินระฆังเราจะไม่เลิก ตั้งสัจจะอธิฐานแล้ว ก็ต้องทำตามนั้น
ท่านพระอาจารย์เจ้าอาวาสท่านไม่เห็นผมไปรับอาหารเช้า  ท่านเลยเป็นห่วงว่าเป็นอะไร  มาถามถึงห้องผมว่า  โยมๆๆ เป็นอะไรวันนี้ทำไมไม่ไปรับอาหารเช้า 
  ผมก็ถามท่่านว่า ทำไมวันนี้ไม่ได้ยินระฆังสัญญานว่าเช้าแล้ว   ท่่านบอกว่าวันนี้เห็นมีโยมอยู่คนเดียวเลยไม่ตีระฆัง
ไปกินอาหารเช้าเสียเถอะ   ผมก็เรียนบอกกับท่านว่าขอความกรุณาหลวงพี่ช่วยไปตีระฆังให้กระผมหน่อยเถอะครับ  เพราะผมตั้งสัจจะไว้แล้วว่า  จะลุกขึ้นก็เมื่อได้ยินเสียงระฆังเท่านั้น
ท่านก็เลยมีเมตตาไปตีระฆังให้  พร้อมกับสอนผมว่า คราวหลังอย่างอธิฐานอย่างนั้น  ให้อธิฐานว่าขอให้มีสติมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา  อย่างนี้จะดีกว่า  อย่าไปสัญญาณกับเสียงระฆัง
ผมก็ได้เรียนบอกท่านว่า  มาคราวนี้ถึงจะไม่ได้อะไร  อย่างน้อยผมได้ก็รักษาสัจจะบารมีครับ  

หมายเลขบันทึก: 512186เขียนเมื่อ 16 ธันวาคม 2012 01:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 พฤษภาคม 2013 03:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

มาชื่นชมสัจจะบารมีค่ะ น่านับถือจริงๆ ค่ะคุณพี่

ไม่ได้คุยกันนาน หวังว่าคุณพี่คงสบายดีและมีความสุขในการปฏิบัติธรรมนะคะ


อยากให้น้องปริมไปปฏิบัติจัง  อยู่ก็ไม่ไกลจากเมืองไทยหาโอกาสงามๆใหักับตัวเองสักสิบวัน  มีการปฏิบัติทุกต้นเดือน ๑ - ๑๐ ที่วัดแพร่แสงเทียน  พี่พาภรรยาไปปฏิบัติด้วย เธอบอกว่าถ้ามีเวลาจะมาอีก ส่วนรุ่นพี่ไปมาเขียนมาบอกว่า


กลับจากวัดคราวนี้แปลกกว่าทุกครั้งตรงที่ อยู่เฉยๆได้ไม่อยากออกไปไหน อยู่นิ่งๆได้ ไม่เซ็งและมีความสงบดี แต่พยายามปฎิบัติเกือบทุกวันนะ

เพิ่งอาทิตย์แรกที่กลับจากวัดที่มีความรู้สึกนี้ ต่อๆไปจะเป็นอย่างนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ความรู้สึกเป็นสุขโดยไม่ต้องอาศัยสิ่งรอบข้าง


ป้าพิกุลเป็นCEOที่ดีมากจริงๆค่ะ

จากการบริหารของป้าทำให้วัดแพร่แสงเทียนเป็นวัดที่มีระเบียบ เหมาะกับการฝึกปฏิบัติเป็นอย่างมาก

ป้าบริหารงานทุกอย่างด้วยใจ ตั้งแต่งานครัว งานสวน การบริหารจัดการนำคนเข้าคอร์ส รวมไปถึงการให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติ นอกจากนั้นป้ายังเป็นคนอบรมสอนให้ด้วย ขอบอกว่าป้าพิกุลคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆค่ะ เคยไปมาแล้วหนึ่งครั้งพบว่าชีวิตดีขึ้น และคิดว่าจะต้องมีครั้งที่สองอย่างแน่นอน

ขอแจ้งข่าวคอร์สการเจริญสติของวัดแพร่แสงเทียน เนื่องจาก วันที่ 1-10 พฤษภาคม 2558 เป็นคอร์สสุดท้ายสำหรับปีนี้ (พ.ศ. 2558) หลังจากนี้จะปิดเพื่อปรับปรุงการทำงานภายในองค์กร เพื่อรองรับกัลยาณมิตรต่อไป จะเปิดอีกครั้งในปีใหม่ ( 1-10 ม.ค. 2559 ) จึงจะแจ้งมายังกัลยาณมิตรธรรมทุกท่าน เพื่อทราบโดยทั่วกัน

คณกรรมการวัดแพร่แสงเทียน

26/1/58

จาก ป้าพิกุล มโนเจริญ

087-180-2976

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท