สายวันที่ ๒๕ ต.ค. ๕๕ คณะกรรมการรางวัลนานาชาติ รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้เสนอแนะต่อคณะกรรมการมูลนิธิฯ ให้พระราชทานรางวัลด้านการแพทย์แก่ Sir Michael Rawlins จากผลงานสร้างสรรค์วิชาการ และสถาบัน พัฒนาหลักฐานประกอบการตัดสินใจ และจัดสรรทรัพยากร ด้านสุขภาพ (ซึ่งตัวสถาบันคือ NICE) และ รางวัลด้านสาธารณสุขแก่ Dr. Uche Veronica Amazigo จากผลงานการสร้างสรรค์ ระบบการดำเนินการรักษาโรคแบบชุมชนอำนวยการ (Community-Directed Intervention - CDI)
ในฐานะประธาน ผมจึงขอให้คณะกรรมการใช้เวลาที่เหลือ ให้คำแนะนำว่า ควรสื่อสารคุณค่าของผลงานของท่านทั้งสอง ต่อสังคมโลก และสังคมไทย อย่างไร จึงจะเกิดคุณค่าที่สุดต่อการพัฒนาสุขภาวะของผู้คน
โอ้โฮ! คณะกรรมการรางวัลนานาชาติแต่ละท่าน ให้คำแนะนำที่เปิดกระโหลกเพิ่มสติปัญญาแก่ผมอย่างที่สุด การคุยกันเรื่องคุณค่าต่อผู้อื่น ต่อคนส่วนใหญ่ ตามรอยพระยุคลบาทสมเด็จพระบรมราชชนก นำสู่ปัญญาและความสุขเช่นนี้เอง
สำหรับ Sir Michaelผลงานที่เป็นรูปธรรมคือสถาบันNICE กับวิธีการทางวิชาการที่ NICE พัฒนาขึ้นใช้ประเมินความคุ้มค่าของเทคโนโลยีสุขภาพ ผลงานนี้จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสถานการณ์ของระบบสุขภาพในปัจจุบัน ที่ผมคิดว่าแปลกมาก ไม่เคยคิดว่าจะได้ประสบในชีวิตของผม คือเป็นสถานการณ์ที่ “สินค้า” มีมาก ดี แต่ราคาแพง ในขณะที่เงินซื้อมีจำกัด โดยที่ผลของการลงทุนซื้อคือชีวิตคน
หมอถูกสอนย้ำแล้วย้ำอีก ให้บูชาชีวิตคนเป็นสิ่งสูงสุด ต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิต (ของคนไข้) เวลานี้สิ่งที่หมอ (และคนในวิชาชีพสุขภาพ) เผชิญ คือปัญหาเทคโนโลยีด้านสุขภาพที่ดี ประสิทธิผลสูง แต่ราคาแพงระยับ หากคิดที่คนไข้เป็นรายคนก็ไม่ยากนัก ใครมีเงินจ่ายก็ได้รับ ใครไม่มีเงินจ่ายก็ไม่ได้รับ แต่โลกของระบบสุขภาพไม่ง่ายเช่นนั้น เวลานี้เรามีระบบ “คุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้า” (ที่ประเทศไทยได้รับการยกย่องมาก ว่ามีระบบที่ดีที่สุดประเทศหนึ่งในโลก) ที่ประสบแรงกดดันจาก ๒ ขั้วตรงกันข้าม คือผู้คนต้องการบริการที่ดีที่สุด แต่เงินมีจำกัด
นี่คือที่มาของผลงานของ Sir Michael คือผลงานสร้างเครื่องมือผลิตสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจในสภาพที่ซับซ้อนของระบบสุขภาพ ว่าเทคโนโลยีใดคุ้มค่า เทคโนโลยีใดไม่คุ้มค่า ในสถานการณ์นั้นๆ โดยที่ความ “คุ้มค่า” นั้น ไม่ได้มองเฉพาะด้านการเงินเท่านั้น ยังดึงเอาปัจจัยสำคัญหลากหลายมิติเข้ามาประกอบการพิจารณา
นอกจาก NICE ซึ่งทำงานในระบบสุขภาพของสหราชอาณาจักรแล้ว Sir Michael ยังตั้ง NICE International ขึ้นทำงานในบริบทที่หลากหลายของโลกด้วย ตัวอย่างของผลงานทำนองเดียวกันกับ NICE ที่อยู่นอกประเทศอังกฤษคือ HITAPของประเทศไทย ซึ่งทำงานก่อคุณประโยชน์แก่ระบบคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้าของไทยเป็นอย่างยิ่ง
แต่กิจกรรมประเมินความคุ้มค่าของเทคโนโลยีสุขภาพไม่ใช่ว่าจะเป็นที่ชื่นชอบของคนทุกคน โดยเฉพาะหมอ มีหมอจำนวนหนึ่งไม่ชอบ หรือไม่พอใจผลงานบางเรื่อง เพราะผลงานบางชิ้นอาจนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ทำให้เกิดข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีบางอย่างในระบบคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้า
ฝ่ายที่ไม่ชอบที่สุดคือบริษัทยา และบริษัทผลิตเครื่องมือแพทย์ใหม่ๆ ที่ราคาแพง และมีคนพูดว่า ในบางกรณี และบางประเทศ บริษัทยาจะวิ่งเข้าหานักการเมือง เพื่อ ล็อบบี้ให้ใช้ยาหรือเครื่องมือของตน ในชุดสิทธิประโยชน์ของบริการสุขภาพถ้วนหน้า ก่อความสงสัยในผลประโยชน์ในลักษณะคอรัปชั่น การมีเทคโนโลยี และบุคลากรที่มีความสามารถประเมินเทคโนโลยีอย่างเป็นวิชาการและตรงไปตรงมา เพื่อแจ้งผลต่อสาธารณชนจึงมีประโยชน์ไปทั่วโลก และประเทศไทยก็ได้รับผลประโยชน์มาก ในหลายกรณี ทำให้บริษัทยาลดราคายาลงมา
เซอร์ กัส กรรมการท่านหนึ่งของ คณะกรรมการรางวัลนานาชาติ กล่าวในที่ประชุมว่า ราคายาและสินค้าไฮเทคทั้งหลายไม่ได้ตั้งตามราคาทุน แต่ตั้งตามความพอใจของตลาดที่จะซื้อ ผมจึงคิดต่อว่า แต่ขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของสังคมต่างๆ ไม่เท่ากัน ราคายาจึงไม่ควรเท่ากัน การมีเทคโนโลยีประเมินเทคโนโลยีตามแนวทางของ NICE จึงช่วยให้แต่ละประเทศมีเครื่องมือตรวจสอบความคุ้มค่าของเทคโนโลยีแต่ละอย่าง ตามบริบทของตน
ส่วน Dr. Uche Veronica Amazigoผลงานที่เป็นรูปธรรมคือ CDTI (Community Directed Therapy of Ivermectin) คือในทางรูปธรรมผลงานที่น่ายกย่องคือ การควบคุมโรค Oncocerciasis ในทวีปอัฟริกา แต่ในสายตาของผม ที่น่ายกย่องกว่าคือตัวเครื่องมือที่ใช้ในการควบคุมโรคนั้น ซึ่งก็คือเทคนิคการเอื้ออำนาจให้ชุมชนเข้ามาจัดการการควบคุมโรค (Community Empowerment หรือ Community-Directed Disease Control) ซึ่งผลงานชิ้นหลังนี้อาจเรียกว่า การสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบสุขภาพชุมชน
มองอีกมุมหนึ่ง Dr. Amazigo ใช้การควบคุมโรค River Blindness (Oncocerciasis) ด้วยการให้ยา Ivermectin สำหรับตัดวงจรชีวิตของตัวพยาธิ (ยานี้บริษัทเมิร์ค ให้ฟรี และมีการจัดตั้งองค์กร APOC (African Program for Oncocerciasis Control) ขึ้นดำเนินการ) เป็นเครื่องมือสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบสุขภาพชุมชน โดยในการดำเนินการนี้มีงานวิจัยตรวจสอบผล และยืนยันผลอย่างเป็นระบบ งานวิจัยนี้เพื่อสร้างความรู้ทั้งเกี่ยวกับการป้องกันโรค River Blindness และเกี่ยวกับการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ให้ชุมชนเป็นเจ้าของโครงการควบคุมโรคของเขาเอง
เวลานี้ วิธีการให้ชุมชนเป็นเจ้าของและเป็นผู้ดำเนินการควบคุมโรคของตนเอง ใช้กับอีกหลายโรคในประเทศยากจนทั้งหลาย ได้แก่ ในการป้องกันโรคมาลาเรีย โดยการแจกมุ้ง, การให้เด็กกินวิตามิน เอ ป้องกันโรคตาบอด, การรักษาวัณโรคด้วยการให้ยาระยะสั้น เป็นต้น
วิจารณ์ พานิช
๒๕ ต.ค. ๕๕
ไม่มีความเห็น