จดหมายถึงครู l หาคำตอบของคำถาม


วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

กราบสวัสดีค่ะครู

        เช้านี้ตื่นขึ้นมา หุงข้าวขึ้นไปทำวัตร ไปออกกำลังกายแล้วก็กลับมาทำกับข้าว หนูถามตนเอง

“จะเอายังไง”

จัดแจงแต่งชุดทำงานตามที่ครูเมตตาให้โอกาสเรียนรู้ ไปวัดด้วยผัดกระเพราะผัก ที่ตั้งใจทำกับตนเอง หนูไปวัดทั้ง ๆที่ไม่ทราบว่าวันนี้คือ “วันพระ”

ไปถึงวัดเช้าจึงได้โอกาสร่วมจัดแจงสำรับกับข้าวที่พระบิณฑบาตมา แล้วก็มานั่งภาวนา วันนี้พระท่านเมตตาพาลงมาลานที่เต็มไปด้วยร่มไม้ ปูเสื่อบนฟางระหว่างต้นไม้แล้วก็นั่งลงหายใจกับตนเอง

“หนูอยากได้คำตอบ ว่าหนูกำลังทำอะไรกับชีวิตตนเองอยู่”

ไม่ปรารถนาเป็นภาระ หรือ เบียดเบียนครู และผู้คน แต่ที่เห็นและเป็นอยู่ตลอด 4 ปี ที่ผ่านมา ยิ่งพยายามก็เหมือนยิ่งสร้างความซับซ้อน

พอพลาดบ่อย ก็เลยเกิดการถามตนเองว่า “ทำแล้วพลาด กับ ไม่ทำ อันไหนดีกว่ากัน”

ในระบบของสมองก็ตอบว่า

“ทำแล้วพลาดยังดีกว่านะ อย่างน้อยก็กำไรเรียนรู้ แต่ถ้าไม่ทำนี่ก็อดตั้งแต่เริ่มเลย”

หนูนั่งดูรูปตนเอง ที่ถ่ายแฟชั่นเก็บไว้กับเพื่อนตั้งแต่สมัยปีสาม แล้วก็ไล่เรียง ไปงานโชว์ต่าง ๆ

สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นกับชีวิตหนูได้ยังไง

คำตอบคือ ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย ถ้าไม่เจอครู

เพราะยิ่งเห็นวิวัฒนาการของภาพถ่าย

จะเห็นการแต่งตัวที่เปรี้ยวและโป๊ ขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา

แล้วก็เริ่มปรับเปลี่ยนเป็นกระโปรงยาวบ้าง เมื่อหลัง ๆที่รู้จักครู

แต่ผู้หญิงในภาพ เธอก็สะท้อน ราคะ ภายในของเธอชัดเจน

สะท้อนความอวดดี ถือ ดี ของตัวตนชัดเจน

มองย้อนไปในอดีต ช่างเป็นหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความแก่งแย่งแข่งขัน อิจฉาตาร้อน เต็มจิตใจ

อารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ มักจะเป็นจุดสนใจของผู้คนเสมอ

แต่ไม่ใช่ในด้านดี แต่เป็นอะไรที่ผู้คนออกอาการ “งึด” ประมาณว่า ทำไปได้

ทั้งดีชั่วนั่นแหละ แต่หนักไปทางชั่วและเรียกร้องความสนใจซะมากกว่า

หลัง ๆมาก็ดูจะสำรวม และแต่งเสื้อผ้ามิดชิดมากขึ้น แต่ก็จะไม่ค่อยมีรูปถ่ายแล้วค่ะ จะอยู่ในคอมพิวเตอร์บ้าง

หรือไม่ก็หลัง ๆไม่ชอบถ่ายภาพแล้ว หนักไปทางเป็นคนกดชัตเตอร์ หรือ ไม่ก็หลบเลี่ยงไปเลยค่ะ

การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขนาดนี้ แทนที่จะยินดีกับตนเอง

ทำไมจิตใจหนูเศร้าหมองเล่า

มีแต่ความขุ่นมัว ก้าวร้าว และน้อยใจอยู่ภายใน

ว่า “ไม่เคยทำอะไรสำเร็จ ว่าไม่เคยได้เรื่องได้ราวสักอย่าง”

นี่คือ เสียงที่ดังออกมาจริงแท้ที่ได้ยินขณะพิมพ์

เกิดความผิดพลาด ผิดปกติอะไรของจิตใจ ณ ปัจจุบัน ที่บั่นทอน ความเพียรไม่ให้เกิดขึ้น

ทำไมมีแต่เสียงซ้ำเติมกับตนเอง ทั้งๆที่ แทบต้องบอกว่า ตะกายขึ้นมารักษาข้อวัตรกับตนเอง

อยากเห็นตนเองเป็นผู้ว่าง่าย แต่สุดท้ายก็แพ้พ่ายให้กิเลส

สร้างความเดือดร้อนให้คนหมู่มากอยู่ร่ำไป

ศีลข้อ 1 ด่างพร้อย เพราะมีแต่คอยทิ่มแทงซ้ำเติมตนเองด้วยความผิดพลาดเก่า ๆ ซ้ำ ๆ

การเดินไปข้างหน้า กับการถอยหลังของหนู เหมือนมันจะ เท่ากัน

เพราะยิ่งเดินไปข้างหน้า หนูก็ยิ่งถอยหลัง

มีดีแค่อย่างเดียวคือ “ทน”

แต่หนูยิ่งทนผู้คนที่รายล้อมก็ยิ่งได้รับผลกระทบ รายแล้วรายเล่า ที่ใจตอกย้ำว่า เพราะความขาดสติของหนูเอง

หนูเป็นเหมือนตัวเม่น ที่เต็มไปด้วยหนามแหลม ที่ผู้คนสงสารยื่นมือมาช่วยลูบหลัง แต่ทุกครั้งที่ผู้คนยื่นมือมา ขนแหลม ๆ ก็ทำร้ายผู้คนอยู่เสมอ

ง่ายที่สุดของทางออกก็คือ “การกำจัด”

มีการกำจัดอยู่ 2 ประเภทที่จะหยุดสิ่งเหล่านี้ได้

1.  กำจัดตัวหนูออกจากโลกสิ่งแวดล้อมและผู้คน

2.  กำจัดตัวตนที่อยู่ข้างในหนูออกจากโลก สิ่งแวดล้อมและผู้คน

ถ้าเลือกข้อ 1 ก็เพียงเดินออกมา แล้วจากไป แต่อาจจะเป็นเพียงแค่การหนี เปลี่ยนที่สร้างปัญหา เพราะสาเหตุที่แท้ไม่ได้ถูกแก้ไขที่ต้นเหตุ ไม่ได้ดับที่เหตุ คือ จิตใจที่ชั่วร้ายมืดบอดของหนูไม่ถูกชำระแก้ไข

แต่ถ้าเลือกข้อสอง ถ้าทำได้ก็คือ “ความสุดยอดของการเกิดมาเป็นคน”

แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 4 ปี ก็พิสูจน์ชัดแล้วว่า “หนูทำไม่ได้ ทำไม่สำเร็จ”

ไม่ต้องโทษใครเลย ก็เพราะหนูเองที่ทำไม่พอ เรื่องแบบนี้ ไม่มีใครทำแทนใครได้ ก็กรรมที่หนูทำมาเองนี่แหละ ที่ทำให้มันไม่พอ มันไม่ผ่าน มันคือ 4 ปี ที่น่าเสียดายจริง ๆ ตอนนี้หนูเหมือนไม่ใช่คนเลือก แต่ใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะ “ลอยคอ”

ยิ่งพยายามว่ายเข้าฝั่งคลื่นก็ยิ่งซัดกระหน่ำแรง ของที่แบกขึ้นหลัง ก็ยังไม่รู้วิธีปลดลง

สุดท้ายก็คงต้องลองทำกับตนเองไปจนกว่าหนูจะตาย ในสภาพนี้แหละเจ้าค่ะ

ครูอาจจะต้องเหนื่อยกับหนู

แม้จะไม่รู้ว่าจะอีกถึงเมื่อไหร่เจ้าค่ะ แต่ก็ขอโอกาสให้ครูได้โปรดเมตตา

 ปัญญาเท่าที่มีตอนนี้บอกคำดี ๆ ให้ตนเองได้เพียงว่า “อดทนเอานะติ๋ว”

“อันของสูงแม้นปองต้องจิต หากไม่คิดปีนป่ายจะได้หรือ”

หลวงปู่ก็เมตตาบอกให้ “กดหัวมันไว้” แล้ว “อย่าขี้ใจน้อยหลาย ให้ทำใจแข็ง ๆไว้”

เมื่อสิ่งที่ใจหมายปองมันคือ ข้อ 2

อย่างที่เคยเอ่ยกับหลวงปู่เมื่อครั้งท่านถามว่า

“อยากได้โชคดีอะไร ชีวิตนี้ปรารถนาอะไร”

มันคือทางเลือกที่ความปรารถนาภายในนี้หมายปองไม่เคยเปลี่ยน  มีเพียงครรลองของการพากเพียรตามหลังครูเท่านั้น ที่จะทำให้ถึงที่หมายได้

กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะครู

หมายเลขบันทึก: 509563เขียนเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2012 21:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 ธันวาคม 2012 22:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

 

ครูอาจจะต้องเหนื่อยกับหนู

แม้จะไม่รู้ว่าจะอีกถึงเมื่อไหร่เจ้าค่ะ แต่ก็ขอโอกาสให้ครูได้โปรดเมตตา

 ปัญญาเท่าที่มีตอนนี้บอกคำดี ๆ ให้ตนเองได้เพียงว่า “อดทนเอานะติ๋ว”

มันสะท้อนอะไรหลายอย่างภายในมากเลยนะ เป็นวิธีการเดิมๆ ที่เราชอบทำแต่มันละเอียดขึ้น

...

ขอโอกาสแชร์ประสบการณ์กับติ๋วนะ ...

ตลอดเวลาของการเรียนรู้ของเรา ไม่เคยเว้าวอนกับครูบาอาจารย์ และไม่เคยคาดคั้นท่านว่าต้องช่วยเรา ต้องเมตตาเรา เพราะเต็มหัวใจของเรานั้น ตระหนักเสมอว่า "พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาอย่างประมาณหาที่สุดมิได้" ดังนั้น ตลอดชีวิตเราจึงไม่เคยหรือไม่กล้าพอที่จะเอื้อนเอ่ย หรือแม้แต่จะคิด ที่จะขอโอกาสให้ท่านเมตตา

เรามีแต่เพียรและตั้งใจทำ

ใช้ความเศร้าหมองในจิตหรือความเบิกบานที่ปรากฏ เป็นตัวชี้วัด ว่า...เราผ่านหรือไม่

กำไรที่ได้คือ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านแสดงให้เห็นถึงการรับรองว่าสิ่งที่เราได้เรียนรู้นั้นผ่าน 

การที่ติ๋วเขียน ครูอาจจะต้องเหนื่อยกับหนู

แม้จะไม่รู้ว่าจะอีกถึงเมื่อไหร่เจ้าค่ะ แต่ก็ขอโอกาสให้ครูได้โปรดเมตตา

 ปัญญาเท่าที่มีตอนนี้บอกคำดี ๆ ให้ตนเองได้เพียงว่า “อดทนเอานะติ๋ว”

มันละเอียดมาก...

เสียงภายใน => ครูจะต้องเมตตาติ๋ว เพราะติ๋วพยายามและอดทน หากครูไม่เมตตาติ๋วล่ะ ครูจะไม่ถูกสังคมประณามเหรอ เป็นเพราะครูนั่นแหละติ๋วจึงเป็นเช่นนี้... 

มันดูดีนะ แต่มันเป็นการขอโอกาสแบบประจานครู

พ่อแม่ครูบาอาจารย์บางท่าน ท่านไม่เอานะ หากไม่เอาจริงเอาจัง ไม่มุ่งมั่น เหลาะๆ แหละๆ...

...

ทำไมไม่เปลี่ยนบอกต่อตนเองว่า

...

"หนูจะต้องตั้งใจและเพียรมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า แม้จะเหนื่อยมากกว่าเดิมหนู่ก็ยอม"... 

เฝ้าบอกตนเองเช่นนี้จะไม่ดีกว่าเหรอ...

เจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ

มาเติมกำลังใจให้น้องติ๋ว

ลองมองโลกแบบสุนทรียปรัศนี

แล้วน้องจะมีพลังในการทำสิ่งดีๆให้ตัวเองค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท