วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม 2555
กับวันที่ผมใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวนะ ทุกอย่างก็ทำแบบสบายๆ เล่นเฟสฯ คุยกับเพื่อนๆ เปิดเพลงฟังเพลงไปพร้อมๆ กับเพื่อนๆในเฟสฯ อะไรประมาณนั้น ขณะที่ฟังเพลง เด็ดดอกรัก (ชรัมภ์ เทพชัย) อย่างเพลินๆ พร้อมๆกับการได้อ่านมติชนในเรื่อง ความรู้สึกคือเหตุผลหนึ่ง ของหนุ่มเมืองจันท์นะ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่อ่านแล้วประทับใจครับ
เค้ายกคำถามประเทืองปัญญามาให้เราได้ขบคิด จากนั้นก็อธิบายเรื่องราวให้สอดไปกับการตัดสินใจของผู้คนในชีวิตประจำวัน เขาเล่าว่า
เจ้านายให้เราเลือกระหว่าง
1.ทำงานเพิ่มขึ้นอีกวันละ 3 ชม. ในวันที่ 1 มีนาคม หรือ
2.ทำงานเพิ่มวันละ 4 ชม.ในวันที่ 15 มีนาคม
คุณจะเลือกตัวเลือกที่ 1 หรือที่ 2
หลายคนจะเลือกช๊อยซ์ที่ 1 เพราะทำงานน้อยกว่าครับ โดยใช้หลักเหตุผลในการตัดสิน ซึ่งก็ถูกต้องนะ
แต่ที่น่าแปลกใจน่ะก็คือผลการวิจัยที่น่าเชื่อถือบอกว่า
คนส่วนใหญ่นั้นเลือกช๊อยซ์ที่ 2 กัน
คำถามของผมก็คือ ทำไมเป็นยังงั้นอ่ะ เขาบอกว่า จุดสำคัญอยู่ที่ว่า เจ้านายคุณถามคุณวันไหน
ถ้าถามในวันที่ 1 มกราคม แบบนี้ คำตอบที่ได้ก็จะใช้หลักเหตุผลตอบ นั่นคือเลือกช๊อยซ์ที่ 1 (เพราะเหลือเวลาอีกสองเดือนจึงจะเริ่มทำงาน)
แต่ถ้าเจ้านายเกิดถามเราในวันที่ 1 มีนาคมล่ะก้อ หลายคนตกใจครับ และก็ให้คำตอบคือ ช๊อยซ์ที่ 2 ครับ
ในการตัดสินใจของคนเรานั้น ส่วนใหญ่จะเลือกทำในสิ่งที่เป็นความสุขก่อนทั้งนั้น ส่วนเรื่องราวของความทุกข์นั้นขอผลัดผ่อนไปก่อนล่ะกัน
..อึมม..สงสัยจะจริงนะ ผมเองก็น่าจะเข้าข่ายนี้ไปกับเค้าด้วย
อ่านไปแล้วก็ทำให้นึกถึงเรื่องของการเลือกซื้อรถยนต์ที่เพิ่งผ่านมาจังเลย
เราได้เลือกจองรถในครั้งแรกน่ะ เราเลือกนิสสันมารช์และก็ตัดสินใจจองไป ใช้เงินไปตามข้อกำหนดของเขานะ ..หลังจากไปจองเราจะต้องรอเวลาอีกเดือนสองเดือนนะกว่าจะได้รถ ก็ทำให้เรามีเวลาทบทวน การทบทวนหรือคิดหนักนี่ก็คงจะเป็นกันทุกคนกระมังนะ โบวชัวร์ของรถทุกค่ายถูกนำขึ้นมาวิเคราะห์มาเปรียบเทียบ ค้นหาข้อมูลสารพัดทุกแง่ทุกมุมในยุคอินเตอร์เน็ต เราได้เห็นได้เข้าใจการทดสอบรถกันอย่างละเอียด ลึกซึ้งก็ว่าได้ สุดท้ายเราก็ได้ข้อสรุปว่าในรถอีโควคาร์ราคาเท่ากันนั้น มิราจให้สิ่งที่เราต้องการได้มากกว่าแบบคุ้มมากๆ เราก็ตัดสินใจไปจองมิราจอีกคัน คือคิดว่าจะตัดทิ้งเจ้ามารช์แล้วล่ะ
จากนั้นก็อยู่ในช่วงรอรถยนต์มาส่ง รอประมาณหนึ่งเดือน ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากน้องนีคนขายรถของนิสสันนะว่า รถมาร์ชที่จองน่ะมาแล้ว ซึ่งก็ค่อนข้างเร็วเหมือนกัน ตอนนี้รู้สึกดีใจนะ ความสนใจก็ถูกจองไปกับเจ้ารถยนต์คนใหม่
ตอนนี้เกิดอาการสองจิตสองใจ เวลาเกิดสถานการณ์แบบนี้ผมเลือกทำตัวสบายๆ ให้รู้สึกผ่อนคลายแล้วความคิดการตัดสินใจจะมีสติมีความมั่นใจในการเลือกนะ จากตรงนี้ใจผมเริ่มเอนเอียงแล้วล่ะ
รถก็ถูกใจ ราคาก็โอเคนะ และก็ไม่อยากต้องรอต่อไปอีกราวเดือนกับมิราจแล้วล่ะ
สุดท้ายก็ตัดสินใจซื้อมาร์ชไป ตรงนี้เป็นการการตัดสินใจบนความรู้สึกนะ ส่วนตัวรู้สึกชอบ อยากจะใช้รถเลยไม่อยากรอแล้ว ตรงนี้ให้ความสุขกับเราและเราก็เลือกจริงๆด้วย สอดรับกับงานเขียนของหนุ่มเมืองจันท์เลยล่ะ
และด้วยหลักคิดแบบนี้ หากจะต้องทำงานอะไรสักอย่าง เราต้องเลือกสั่งงานตามจังหวะที่สอดรับกับความรู้สึกของลูกน้องนะ หากอยากได้คำตอบปฏิเสธก็เลือกบอกให้ไม่มีเวลารอนะ(สร้างความทุกข์) และถ้าต้องการได้ยินคำว่า ได้ครับเจ้านาย ก็ควรเผื่อเวลาให้เค้าได้มีรู้สึกว่าสิ่งนั้นยังคือความสุขอยู่
และกลับกันครับ หากเราได้รับมอบหมายงานที่หลายคนเห็นเป็นความทุกข์มาทำ หากทำได้สำเร็จ คุณก็จะกลายเป็นคนพิเศษสำหรับลูกค้าหรือเจ้านายไปในบัดดล เช่นกันครับ
ส่วนให้เลือกสิ่งที่ "ทำแล้วมีความสุขก่อน" ทำแล้ว "ไม่มีความสุข" เลือกทำที หลัง
ขอบคุณ บทความดีดี มีข้อคิอนี้ค่ะ
สวัสดีครับคุณพี่เปิล ผมคิดว่าการที่เราสามารถเข้าใจจิตใจคนอื่นนี่สำคัญมากๆ นะครับ มั่นใจอย่างนั้นก็เลยบันทึกไว้นะครับ ขอบคุณคุณพี่ที่ให้กำลังใจมาเสมอ มีความสุขกับวันพักผ่อนนะครับ