จดหมายถึงแม่ ฉบับที่ ๕


การสอบประมวลความรู้และระเบียบวิธีวิจัย

                                        

                                                                                                              เมืองเชนไน,  ประเทศอินเดีย

                                             ๑๓  กรกฎาคม   ๒๕๕๑

ถึงคุณแม่ ที่เคารพอย่างสูง

            คุณแม่อยู่ทางเมืองไทยเป็นอย่างไรบ้าง  สบายดีหรือเปล่า  พี่ ๆ และหลาน ๆ คงสบายดีกันทุกคนนะครับ  สำหรับผมอยู่ทางอินเดียก็สบายดีเหมือนเดิมทางบ้านไม่ต้องเป็นห่วง  จดหมายฉบับนี้ผมเขียนมาเพื่อเล่าเรื่องราวในรอบเดือนที่ผ่านมาให้คุณแม่ทราบว่าผมได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง  เรื่องแรกก็คือเรื่องการสอบระเบียบวิธีวิจัย หรือ Research Methodology ซึ่งผมโชคดีมากที่ได้สอบเร็ว คือหลังจากลงทะเบียนเป็นนักศึกษาได้เพียงหนึ่งปีก็ได้สอบแล้ว  นักศึกษาบางคนต้องรอถึง ๒ ปี หรือปีที่ ๓ จึงได้สอบ  อาจเป็นเพราะว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของผมท่านเป็นหัวหน้าภาควิชาด้วยทุกอย่างจึงง่ายขึ้น  ผมจำได้ว่าท่านบอกผมให้ผมเตรียมตัวสอบในวันที่ผมส่งจดหมายถึงคุณแม่ฉบับที่แล้วนั่นเอง 

             การสอบมีทั้งหมด ๓ วิชา คือ วิชาพื้นฐานความรู้ทางปรัชญา  วิชาพื้นฐานความรู้ทางพระพุทศาสนา และวิชาระเบียบวิธีวิจัย   ผมใช้เวลาสอบ ๒ วัน คือวันที่ ๓๐ มิถุนายนและวันที่ ๑ กรกฎาคม  ซึ่งผมก็ทำได้ดีทั้ง ๓ วิชา  แต่ผมต้องขอโทษคุณแม่ด้วยที่หลังจากสอบเสร็จแล้วผมไม่ได้โทรศัพท์ไปแจ้งข่าวให้ทราบ   ที่เป็นเช่นนี้เพราะบังเอิญทางกงศุลไทยจัดงานนิทรรศการสินค้าไทยในวันที่ ๔-๖ กรกฎาคม  โดยทางกงศุลได้ขอร้องให้พวกผมเข้าไปช่วยงาน ตั้งแตวันที่ ๒ กรกฎาคมจึงทำให้ไม่มีเวลา  พองานเสร็จวันที่ ๖ ผมจึงได้โทรไปแจ้งข่าวการสอบให้คุณแม่ทราบ  หลังจากนั้นอีก ๓ วัน คือวันที่ ๙ กรกฎาคม  มีการประชุมของนักศึกษาปริญญาเอกในภาควิชาปรัชญา  ผมก็เข้าร่วมประชุมด้วย และผมก็ได้นำของฝากจากงานนิทรรศการสินค้าไทยไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาด้วย พร้อมกับเรียนถามท่านถึงผลสอบ ท่านก็บอกว่าผมสอบผ่านทุกวิชาและได้คะแนนดีทุกวิชา  ซึ่งหลังจากนี้ไปอีก ๒ ปีตามหลักสูตรผมต้องเร่งเขียนงานวิทยานิพนธ์ให้เสร็จ ซึ่งสามารถยื่นวิทยานิพนธ์ได้หลังจากวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นไป  และเมื่อผมส่งวิทยานิพนธ์ต่อมหาวิทยาลัยแล้ว หลังจากนั้น ๖ เดือน ทางมหาวิทยาลัยก็จะกำหนดสอบป้องกันวิทยานิพนธ์  ถ้าผมสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ผ่านก็เป็นอันจบการศึกษาโดยสมบูรณ์แบบ  ซึ่งเท่าที่ผ่านมาก็ยังไม่มีใครสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ไม่ผ่านเพราะฉนั้นจึงไม่น่าวิตกกังวลอะไร  แต่สิ่งที่น่าวิตกกังวลที่สุดของผมตอนนี้คือการเขียนวิทยานิพนธ์  เพราะต้องใช้ความรู้ความสามารถและสติปัญญาสูงสุดในการเขียนหนังสือทางวิชาการเป็นภาษาอังกฤษเล่มใหญ่ ความหนาประมาณ ๒๕๐ หน้าขึ้นไป  เพราะฉนั้นผมจึงไม่สามารถที่จะประมาทได้

         อีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะเล่าให้คุณแม่ฟัง คือเรื่องการช่วยงานนิทรรศการสินค้าไทย (Trade Fair of Thailand) ของสถานกงศุลไทย  งานนี้ท่านกงศุลใหญ่ได้ติดต่อให้นักศึกษาไทยไปช่วยงานผ่านอาจารย์ประยูร  มีนักศึกษาไทยไปช่วยงาน ๔ คน คือ อาจารย์ประยูร  อาจารย์สาคร คุณปุ้ยและผม  ที่ผมตกลงไปช่วยงานเพราะเห็นว่าสอบเสร็จเรียบร้อยแล้วและเป็นการหาประสบการณ์ไปด้วย  ซึ่งในงานนิทรรศการมีบริษัทส่งออกจากเมืองไทยมาเปิดร้านแนะนำสินค้าหลายบริษัท  และมีหน่วยงานราชการมาร่วมงาน ๒ หน่วยงาน คือ กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มาจัดนิทรรศการแนะนำผลไม้ไทย  ตอนแรกผมรับทำหน้าที่ดูแลข้าราชการจากกระทรวงเกษตรฯ ๔ ท่าน  ตั้งแต่วันที่เดินทางมาถึงเชนไน ผมก็พาไปชื้อของจัดงาน ดูสถานที่และจัดนิทรรศการ  พอถึงวันงานผมก็สลับกับอาจารย์สาคร  โดยไปช่วยงานอาจารย์ประยูรและคุณปุ้ยที่บูทของกระทรวงพาณิชย์ โดยมีหน้าที่ให้ข้อมูลกับคนอินเดียที่สนใจมาลงทุนในเมืองไทยหรือต้องการส่งออกสินค้ามาขายที่ประเทศไทย

          โดยสรุปแล้วผมเข้าไปช่วยงานราชการ ๕ วัน  คือช่วยงานกระทรวงเกษตร ๒ วัน และกระทรวงพานิชย์ ๓ วัน ในการช่วยงานนั้นทางกระทรวงเขาให้ค่าตอบแทนด้วย คือกระทรวงเกษตรฯ ให้วันละ ๑,๕๐๐ รูปี  ส่วนกระทรวงพาณิชย์ให้วันละ ๒,๓๐๐ รูปี  เพราะฉนั้นหลังจากทำงานเสร็จผมจึงมีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง  ซึ่งพอดีกับช่วงนี้คอมพิวเตอร์ที่ผมใช้พิมพ์งานวิทยานิพนธ์แบบตั้งโต๊ะที่ผมนำมาจากเมืองไทยกำลังมีปัญหาพอดี  มีฮาร์ดแวร์หลายตัวที่ผมต้องเปลี่ยนใหม่ เช่น เมนบอร์ด ซีดีรอม และแรม  ผมจึงคิดว่าจะใช้เงินก้อนนี้ซื้ออุปกรณ์บางตัวมาเปลี่ยนเพื่อให้การทำงานสามารถเดินหน้าได้อย่างเต็มที่  ส่วนเงินที่พี่ภาณีโอนมาให้ใหม่นั้นผมก็จะใช้จ่ายตามปกติ  แต่ตอนนี้ผมยังไม่ได้เบิกมาใช้จ่ายอะไรและในการใช้จ่ายนั้น  ผมพยายามจะใช้จ่ายให้ประหยัดที่สุดเท่าที่จะทำได้  แต่ค่าครองชีพที่นี้สูงใกล้เคียงกับบ้านเรา  ต่างจากเมื่อสองสามปีที่แล้วที่ผมเรียนปริญญาโท  ตอนนั้นค่าครองชีพไม่สูงนัก และผมก็ยังไม่ลาสิกขาด้วยจึงใช้จ่ายไม่มาก  แต่ตอนนี้นักศึกษาไทยใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า ๖,๐๐๐-๑๐,๐๐๐ รูปีต่อเดือน  ซึ่งผมจะพยายามใช้จ่ายให้ได้ประมาณเดือนละ ๕,๐๐๐ รูปีต่อเดือน

           ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวที่ผมอยากจะเล่าให้คุณแม่ฟัง  และผมต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ติดต่อญาติคนอื่น ๆ  แต่ผมอยากจะบอกให้รู้ว่าผมคิดถึงญาติทุก ๆ คน  และผมขอฝากความรักความคิดถึงไปให้กับทุกคนด้วย  ผมจะพยายามตั้งใจเรียนให้ประสบความสำเร็จอย่างที่ทุกคนคาดหวัง  ผมจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้

         สุดท้ายนี้ผมก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากอ้างอิงเอาคุณพระศรีรัตนตรัย คือคณพระพุทธ คุณพระธรรมและคุณพระสงฆ์ ขอจงช่วยอภิบาลรักษาให้คุณแม่มีแต่ความสุขกายและสบายใจ ปราศจากโรคาภัยทั้งปวง และขอให้คุณพี่และหลาน ๆ ทุกคนประสบแต่ความสุขความเจริญ คิดหวังสิ่งใดที่เป็นไปโดยชอบก็ขอให้สมดังปราถนาทุกประการ

 

ด้วยความรักและเคารพอย่างสูง

บรรพต  แคไธสง

หมายเลขบันทึก: 505325เขียนเมื่อ 12 ตุลาคม 2012 10:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 สิงหาคม 2020 21:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท