อยู่เพื่อทำความดี


อยู่เพื่อทำความดี มันเป็นเวรกรรม ทำไมฉันไม่ตาย คิดใหม่

เวรบ่ายวันธรรมดาๆ วันหนึ่งสำหรับการทำงานของพยาบาล แต่กลับเป็นวันที่ทำให้คนๆ หนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดจากด้านมืดเป็นด้านสว่างได้ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “คิดบวก” เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็มีอยู่ว่า

ข้าพเจ้าขึ้นปฏิบัติงานในเวรบ่าย ซึ่งเป็นวันที่อากาศค่อนข้างดี ไม่ร้อน ไม่หนาวจนเกินไป มีผู้ป่วยที่นอนพักรักษาตัวในตึกผู้ป่วยในอยู่ 20 ราย หลังจากที่ข้าพเจ้ารับเวรเสร็จแล้ว ก็ได้เดินตรวจเยี่ยมอาการผู้ป่วย ข้าพเจ้ามาสะดุดตาที่ผู้ป่วยหญิงวัยกลางคนๆ หนึ่งซึ่งมานอนโรงพยาบาลด้วยโรคหอบหืด สีหน้าของผู้ป่วยเต็มไปด้วยความวิตกกังวล แววตาหม่นหมอง คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันตลอดเวลา แสดงออกถึงความอ่อนล้า ท้อถอย เหนื่อยหน่ายกับชีวิตเหลือเกิน

ข้าพเจ้าเดินเข้าไปทักทายผู้ป่วยรายนั้นด้วยการถามไถ่อาการทั่วๆ ไป คุณแวว (นามสมมุติ) ตอบข้าพเจ้าในลักษณะถามคำตอบคำ ข้าพเจ้าตั้งใจว่าหลังจากเสร็จสิ้นจากภาระงานประจำแล้ว จะต้องมาพูดกับผู้ป่วยรายนี้ให้ได้ และแล้วโอกาสก็มาถึง เมื่อข้าพเจ้าได้ให้การพยาบาลผู้ป่วยเสร็จแล้ว น้องพยาบาลที่ขึ้นเวรกับข้าพเจ้ามาบอกว่า “พี่คะ น้ำเกลือของคุณแววไม่ไหลค่ะ เดี๋ยวหนูจะไปแทงน้ำเกลือให้เขานะคะ”

ข้าพเจ้าบอกว่า “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพี่จะไปแทงให้เอง” หลังจากที่ข้าพเจ้าพูดคุยกับน้องพยาบาลเพื่อนร่วมเวรแล้ว ก็ไปเตรียมอุปกรณ์สำหรับแทงน้ำเกลือให้กับคุณแวว

เมื่อข้าพเจ้าพร้อมรถเข็นอุปกรณ์เดินไปถึงเตียง สิ่งแรกที่ได้เห็นคือ คุณแววนอนอยู่บนเตียง หายใจหอบเหนื่อย ดมออกซิเจนไว้ สีหน้ายังเต็มไปด้วยความวิตกกังวล หน้านิ่วคิ้วขมวด แววตาหม่นหมองเช่นเดิม ข้าพเจ้าเริ่มทักทายกับคุณแวว เพื่อเริ่มต้นพูดคุยกันว่า

“น้ำเกลือไม่ไหลแล้วนะคะ เดี๋ยวพยาบาลจะแทงให้ใหม่ค่ะ”

คุณแววหันมามองหน้าข้าพเจ้า แล้วปรายสายตามองไปยังบริเวณเข็มให้น้ำเกลือที่ฝังอยู่บริเวณข้อมือซ้าย พยักหน้ารับรู้ ข้าพเจ้าได้ถอดเข็มเก่าออก ปิดพลาสเตอร์ทับสำลีบนรอยเข็ม จับแขนผู้ป่วยพลิกกลับไป กลับมา ทำการสำรวจตำแหน่งที่จะแทงน้ำเกลือใหม่ แต่ก็ยังไม่พบตำแหน่งที่เหมาะสม

“เส้นหายากจังเลยนะคะ ไม่ทราบว่าเคยนอนโรงพยาบาลบ่อยมั๊ย” ข้าพเจ้าเอ่ยปากชวนคุยกับผู้ป่วยต่อ

“ไม่บ่อยเท่าไหร่หรอกค่ะ แต่นอนโรงพยาบาลแต่ละที นอนนานเป็นปีๆ เลยทีเดียว” คุณแววบอกเสียงเนือยๆ อย่างเบื่อหน่าย

ข้าพเจ้าเกิดความอยากรู้ขึ้นมาทันทีว่าที่ผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลนานเป็นปีๆ นั้นมาจากสาเหตุใดกันหนอ เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยกังวลใจ หรือท้อแท้ต่อชีวิตหรือเปล่า

ข้าพเจ้าสำรวจไปตามร่างกายของคุณแววแล้วก็สังเกตเห็นว่า ที่ขาทั้ง 2 ข้างของคุณแววมีรอยแผลเป็นหลายแห่งและเป็นทางยาว จึงเอ่ยปากถามผู้ป่วยว่า “แผลเหล่านี้เป็นมาอย่างไรค๊ะ”

คุณแววหยุดคิดแป๊บนึง เงยหน้าขึ้นมาสบตากับข้าพเจ้าแล้วบอกว่า

“ฉันเคยเกิดอุบัติเหตุจนขาหัก แต่ไม่ใช่ครั้งเดียวนะ อุบัติเหตุทั้งหมดเกิดขึ้น 3 ครั้งแล้ว”

ข้าพเจ้าเริ่มได้คิดแล้วว่า การประสบอุบัติเหตุของผู้ป่วยทั้ง 3 ครั้งอาจเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยต้องทนทุกข์มาจนถึงบัดนี้ก็เป็นได้

“ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น” ข้าพเจ้าจ้องหน้า กระตุ้นเตือนผู้ป่วยให้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยความอยากรู้

คุณแววพยักหน้า เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นของผู้ป่วยก็ถูกถ่ายทอดสู่ข้าพเจ้า

“เมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว ฉันไปทำงานก่อสร้างที่กรุงเทพฯ โดนเพื่อนร่วมงานแกล้ง ตอนนั้นทำงานอยู่ชั้นที่ 12 ขณะที่ฉันกำลังก้าวลงลิฟท์ส่งของ ลิฟท์ก็ถูกปล่อยลงไป ทำให้ร่างของฉันตกลงไปกระแทกกับพื้นเบื้องล่าง ฉันคิดว่าฉันคงตายแน่ๆ ฉันสลบไป มาฟื้นอีกทีที่โรงพยาบาล ตอนนั้นฉันได้ยินสียงเรียกชื่อฉันมาแต่ไกล เป็นเสียงที่แผ่วเบามากๆ และแล้วเสียงนั้นก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในความรู้สึกของฉัน  ฉันอุทานกับตัวเองในใจว่า ฉันยังไม่ตายหรือนี่ แล้วฉันเป็นอะไร ทำไมปวดขาจัง ปวดมาก มากที่สุดในชีวิต ไม่เคยเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อนเลย เมื่อสติสัมปชัญญะของฉันกลับมาโดยสมบูรณ์ ฉันเริ่มเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน 

คุณหมอบอกว่าขาฉันหักทั้ง 2 ข้างหักแบบแหลกละเอียด หมอได้ทำการผ่าตัดให้แล้ว และคงต้องผ่าตัดอีกหลายครั้งกว่าจะหาย ฉันจึงต้องนอนโรงพยาบาลเกือบ 3 ปี ฉันนึกเจ็บแค้นเพื่อนร่วมงานที่มาทำกับฉันเป็นแบบนี้ ทั้งๆ ที่ฉันไม่เคยไปทำอะไรเขาเลย แต่ฉันก็ไม่สามารถทำอะไรได้”

ขณะที่เธอกำลังเล่าเรื่องนี้ สีหน้าและแววตาของคุณแววแข็งกร้าวด้วยความโกรธ และปวดร้าวละคนกันไป คุณแววเล่าต่อไปว่า

“สำหรับอุบัติเหตุครั้งที่ 2 เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ครั้งแรกในอีก 3 ปีต่อมา ตอนนั้นฉันไปรับจ้างขายของที่แผงลอยข้างถนน ฉันต้องข้ามถนนเพื่อไปเอาของมาขาย  แต่เจ้ากรรมไม่รู้ว่ามีอะไรมาบังตา ทำให้มองไม่เห็นรถปิคอัพที่กำลังแล่นมาด้วยความเร็วสูง ฉันถูกรถปิคอัพพุ่งชนเข้าอย่างจัง สลบแน่นิ่งไปเลย ตอนนั้นใครๆ ก็คิดว่าฉันต้องตายแน่ๆ แต่คุณพยาบาลเชื่อไหม ฉันมีเพียงแผลถลอกและแผลฉีกขาดตามร่างกายซึ่งไม่รุนแรง แต่เจ้ากรรมขาของฉัน ขาของฉันหักอีกแล้ว ครั้งนี้ต้องนอนโรงพยาบาลกว่า 2 ปี

หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น ฉันกลับมาทำไร่ทำนาอยู่ที่วังน้ำเขียว 5 ปีต่อมา ฉันก็ต้องประสบอุบัติเหตุครั้งที่ 3  เวลานั้นใกล้ค่ำเต็มที่แล้ว ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ฉันนั่งรถไถจะกลับบ้าน อยู่ดีๆ รถไถก็ไปสะดุดก้อนหิน พลิกคว่ำตั้งหลายตลบ ฉันสลบจำอะไรไม่ได้เลย มีคนพามาส่งโรงพยาบาลวังน้ำเขียว แล้วหมอที่นี่ส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลมหาราช พอฉันฟื้นขึ้นมา ญาติๆ บอกว่าคิดว่าจะไม่รอดซะแล้ว เห็นใส่ท่อช่วยหายใจอยู่ตั้งนาน  

เชื่อไหมคะคุณพยาบาลครั้งนี้ฉันก็ขาหักอีก นอนโรงพยาบาลประมาณ 6 เดือน ฉันคิดว่าเป็นเวรเป็นกรรมอะไรนักหนา ทำให้เหตุการณ์เลวร้ายต้องมาเกิดกับฉันซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วก็ต้องขาหักทุกครั้งไป  แต่ละครั้งที่ฉันได้รับบาดเจ็บ ฉันต้องทนทุกข์ทรมานกับมันจนแทบขาดใจตายกว่าจะรักษาหาย”

ผู้ป่วยพร่างพรูเหตุการณ์อันเลวร้ายให้ข้าพเจ้าฟัง ก้มหน้า มองมือที่เกาะกุมกันไว้ที่หน้าตัก นิ่งเงียบ ข้าพเจ้ายื่นมือไปจับมือบีบเบาๆ ปล่อยให้ความเงียบเยียวยาจิตใจ

คุณแววเงยหน้าขึ้นมาสบตากับข้าพเจ้าเป็นครั้งคราว ดวงตามีแววแห่งความเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเรื่องราวต่างๆ จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม แต่ความทรงจำอันเลวร้ายดูเหมือนยังคงฝังแน่นในความรู้สึกของคุณแวว  ข้าพเจ้านิ่งฟังเรื่องราวของคุณแววอย่างสงบ สบตากับผู้ป่วยเป็นระยะๆ บีบมือคุณแววเบาๆ อย่างนุ่มนวลเพื่อเป็นการให้กำลังใจและบอกกับคุณแววว่า

“คุณแววยังถือว่าโชคดี ที่ยังสามารถเดินได้”

ผู้ป่วยกล่าวว่า “ ใช่ คุณพยาบาล ฉันโชคดีที่เดินได้  ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะยังเดินได้อีก”

ข้าพเจ้าพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยแล้วกล่าวต่อไปว่า “เหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่คุณบอกว่าเป็นเวรเป็นกรรมนั้น คุณไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้หรือคะ” ดิฉันถามต่อ เพื่อค้นหาความเชื่อที่ค้างคาอยู่ในจิตใจเธอ

ผู้ป่วยสบตากับข้าพเจ้าอีกครั้ง พร้อมกับถอนหายใจแล้วเล่าว่า

“ก็ตอนเด็กๆ น่ะ ฉันไปนากับเพื่อน ไปจับกบจับเขียดมาเป็นอาหาร ฉันกลัวว่ามันจะกระโดดหนีก็เลยหักขากบขาเขียดหมดเลย บาปกรรมที่ฉันทำไว้ในครั้งนั้นมันเลยส่งผลให้ฉันต้องขาหักแบบกบแบบเขียด  แล้วดูซิ คุณพยาบาล ตอนนี้ฉันก็ต้องมาป่วยเป็นโรคหอบหืดอีก แม้นว่าจะไม่ต้องเข้าออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ อย่างคนอื่นเขา แต่มันก็สร้างความรำคาญให้ฉันไม่น้อยเลย ทำงานหนักก็ไม่ได้ ทำไมถึงไม่ตายๆ ไปเสียทีก็ไม่รู้ จะได้ไม่ต้องมาทรมานแบบนี้”

“คงจะเป็นเวร เป็นกรรม” ข้าพเจ้าเปรยแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธความเชื่อของเขา

“แต่มันก็ผ่านมานานแล้วล่ะนะ” หันไปสบตากับผู้ป่วยตรง ลูบมือที่จับอยู่เบาๆ

“ในปัจจุบันนี้ ไม่คิดบ้างหรือว่า ที่เรายังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ได้ ก็คงเพราะว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังคุ้มครองและให้โอกาสเราอยู่...  ให้เราอยู่เพื่อทำความดี”

หลังจากที่ข้าพเจ้าพูดประโยคนี้จบ คุณแววหันมาจ้องหน้าข้าพเจ้าอย่างเต็มตา คล้ายกับจะขอคำยืนยัน ขอความเชื่อมั่นอะไรซักอย่าง ชะงัก นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ดวงตาเบิกกว้าง ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มมีน้ำเอ่อซึมคลอม่านตา ถามแผ่วเบา “จริงหรือคะคุณพยาบาล คุณคิดอย่างนั้นหรือ”

ข้าพเจ้ายิ้มให้อย่างจริงใจ หนักแน่น พยักหน้าขึ้นลงช้าๆ และบีบมือผู้ป่วยเบาๆ  เขาพูดต่อไปว่า

“ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยมีใครพูดคำนี้กับฉันเลย” คุณแววนิ่งไปชั่วครู่แล้วพูดอีกว่า “อยู่เพื่อทำความดี”  ประโยคนี้คุณแววรำพึงรำพันกับตัวเองมากกว่าที่จะพูดกับข้าพเจ้า

คุณแววประสานสายตากับข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายิ้มให้อย่างอ่อนโยนอีกเช่นเคย แล้วคุณแววก็ถามว่า “ทำความดี ทำยังไงล่ะคะ”

ข้าพเจ้าบอกคุณแววไปว่า “การทำความดี ต้องเริ่มต้นที่ตัวเราก่อน” คุณแวว เอียงคอเล็กน้อย ทำหน้าสงสัยบอกว่า “ไม่เห็นเข้าใจเลย”

ข้าพเจ้าขยายความต่อไปว่า “การทำความดี ต้องเริ่มต้นที่ตัวเราก่อน ให้เราคิดอะไรก็ได้ในสิ่งที่ดีๆ ไม่คิดร้ายทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ทำอะไรก็ได้ที่เราทำแล้วสบายใจ เรามีความสุข ที่สำคัญสิ่งที่เราทำต้องไม่เบียดเบียนคนอื่น หรือทำให้ผู้อื่นต้องเป็นทุกข์ พูดอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นการให้ร้ายหรือนินทาผู้อื่น เท่านี้เองเราก็จะสามารถเป็นคนที่คิดดี ทำดี แล้วก็พูดดีได้แล้ว”

คุณแววบอกกับข้าพเจ้าว่า “คุณพยาบาลพูดง่ายนะ แต่ว่าทำยาก”

ข้าพเจ้ายิ้ม และให้กำลังใจคุณแววว่า

“สิ่งใดก็ตามที่เรายังไม่ได้ลงมือกระทำ สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ยากเสมอ แต่เมื่อใดที่เรากล้าที่จะทำ และได้เริ่มต้นลงมือทำ เราจะพบทางออกได้ด้วยตัวของเราเอง ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถของเราไปได้หรอก ลองเริ่มต้นฝึกทำตั้งแต่วันนี้ แล้วเราจะประสบผลสำเร็จได้ในวันข้างหน้า คุณแววน่าจะลองดูนะ ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ”

คุณแววยิ้มหวานให้กับข้าพเจ้าเป็นตอบรับคำแนะนำ “ค่ะ คุณพยาบาล ฉันจะเริ่มต้นทำเสียตั้งแต่วันนี้เลย เพื่อตัวของฉันเอง”

ข้าพเจ้ายิ้มให้คุณแววอีกครั้ง คุยกับคุณแววนานเสียจนลืมไปว่ายังไม่ได้แทงน้ำเกลือให้คุณแววใหม่เลย หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็จัดการแทงน้ำเกลือให้ผู้ป่วยจนเป็นที่เรียบร้อยและกลับไปปฏิบัติงานตามปกติ

เช้าวันต่อมา ข้าพเจ้าขึ้นปฏิบัติงานในเวรเช้า ภาพที่ข้าพเจ้าได้เห็นคือ คุณแววที่หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ยิ้มทักทายพยาบาลทุกคน แตกต่างไปจากคุณแววที่เซื่องซึมเมื่อเย็นวานนี้ ข้าพเจ้าเข้าไปทักทายขณะรับส่งเวรถึงเตียงเธอ แล้วยังเล่าให้ข้าพเจ้าฟังอีกว่า

“เมื่อเช้านี้ น้องสาวโทรมาหา เขาว่าน้ำเสียงของฉันฟังดูสดชื่น เสียงใส ชัดเจนดีเชียว เหมือนกับคนหายป่วยแล้ว ฉันบอกเขาว่า ฉันคุยกับพยาบาลเมื่อคืนนี้ เขาบอกให้ฉันทำความดี โดยเริ่มจากการคิดดี แล้วก็พูดแต่สิ่งดีๆ ทำแต่สิ่งดีๆ ฉันตั้งใจแล้วว่าต่อแต่นี้ไปฉันจะเป็นแววคนใหม่ ขอบคุณมากนะคะ ที่ทำให้คิดได้”

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าหัวใจพองโต อิ่มเอมใจ มีความสุขใจ ยินดีกับคุณแววที่คิดดีๆ ได้  

ยินดีและมีความสุขที่สามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้มีความสุขได้อีกคนหนึ่ง

 

 

ฟ้ารุ่ง

โรงพยาบาลวังน้ำเขียว

คำสำคัญ (Tags): #ทำความดี
หมายเลขบันทึก: 505301เขียนเมื่อ 12 ตุลาคม 2012 06:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 ตุลาคม 2012 06:58 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท