สี่ปีที่ผ่านมาเมื่อถึงวันที่ครูเขียวยอมตัดสินใจเดินฝ่า คำว่า ระบบราชการ มาสู่นอกระบบ ไม่ต้องรอ เวลา ไม่ต้องรอคน ไม่ต้องรอเงิน ไม่ต้องรอคำอนุมัติ มาทำโครงการศูนย์การเรียนรู้ห้องเรียนนอกเวลาพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก เยาวชนพิการและด้อยโอกาสในชุมชนแบบยั่งยืน ครูเขียวเพิ่งจะมีความรู้สึกว่าชีวิตมีความสุข ได้รับการปลดปล่อยจากพันธะความรู้สึกความอยากได้ อยากมี ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกทุกข์ กับความเป็นไปในระบบราชการที่ครูเขียวยังคงสังกัดอยู่ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครูเขียวก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ความหวังของเด็กๆในศูนย์ที่จะไปสู่ความสำเร็จของพวกเขาตามที่ฝัน ในแต่ละวันที่เขาเข้ามาทำกิจกรรม แววตาฉายความหวังของพ่อแม่ในวันที่มารับลูก มาทำกิจกรรมร่วมกันได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความทุกข์ ความสุข ความภาคภูมิใจ กันอย่างเอื้ออาทรหลังเลิกเรียนตอนเย็น วันเสาร์อาทิตย์ วันสำคัญ วันปิดภาคเรียนล้วนเป็นเวลาที่ครูเขียวมีอิสระปลดปล่อยตัวเองจากคำว่า ข้าราชการ มาเป็น แม่ครู ชาวบ้านคนหนึ่งในชุมชน เมื่อใดที่ดวงอาทิตย์ขึ้นชีวิตของครูเขียวจะเป็นของคนอื่น เมื่อไรที่ดวงอาทิตย์ตกดินครูเขียวจึงได้ทำกิจกรรมสำหรับตนเอง หลายคนบอกว่าครูเขียวบ้าพลัง แต่ฟังแล้วก็ดูดี
ความสำเร็จของเด็กๆ ความสุขของพ่อแม่ ความสุขของชุมชน เป็นการอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัวท่ามกลางความแตกต่างของคนในชุมชน ตลอดสามปีครูเขียวลืมช่วงสามสิบเอ็ดตุลาคม สามสิบเมษายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเงิน เวลาก้าวหน้าของข้าราชการ ไม่โกรธ ไม่เสียใจ ไม่น้อยใจ เฉยๆ
ครูเขียวคิดว่าตาสว่างแล้ว ชีวิตจะเป็นสุข ถ้าไม่ทุกข์ในการให้ และการพยายามที่จะคิด ดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แม้จะเพียงเล็กน้อย ในด้านของพอเพียงด้านลาภยศ ความต้องการ ก็ทำชีวิตให้มีความสุขอย่างที่สุด
สี่ปีของศูนย์การเรียนรู้ห้องเรียนนอกเวลาพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก เยาวชนพิการและด้อยโอกาสในชุมชนแบบยั่งยืน การเป็นส่วนเล็กๆในการช่วยคนด้อยโอกาสกลุ่มเล็กๆในชุมชนให้รู้จักตนเอง ภูมิใจในตนเอง สามารถสร้างสุขให้กับตนเอง ส่งผลถึงความสุขของคนในครอบครัว และส่งไปยังสังคมที่เข้มแข็งมีคุณภาพ แค่นี้ก็สำเร็จแล้ว
ไม่มีความเห็น