สุขศึกษาวิชา ตัวเบา กับ ศุ บุญเลี้ยง


การเป็นคนคิดแง่บวก เป็นสิ่งที่ทำให้เราอยู่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ การคิดแง่บวก คือการมองตามเป็นจริงแต่หาสิ่งที่ดีงามในเหตุการณ์นั้น ๆ แล้วหยิบมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์

เมื่อพูดถึงพี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง คนรุ่นเราไม่มีใครไม่รู้จัก เขาเป็นนักร้อง นักแต่งเพลง และเป็นศิลปิน มีความคิดดีดี ซึ่งเราเป็นแฟนประจำ สมัยเรียนมหิดล ก็เคยเป็นคนเชิญมาเล่นดนตรีในงานรับน้องมหาลัยเหมือนกัน เมื่อเราได้ทราบว่าเขาจะมาบรรยาย ในครั้งนี้ ไม่มีทางที่จะพลาดได้ เตรียมมาแต่เช้า เพื่อจะได้นั่งแถวหน้า ๆ และคาดว่าจะได้ฟังเพลงเพราะ ๆ และขอเขาถ่ายรูปด้วยซักครั้ง พร้อมกับแฟนเราก็อยากได้ข้อมูลด้วยว่า จะหาซื้อซีดี ทุ่งแสงตะวันอันแรกได้ที่ไหน แล้วก็ไม่ผิดหวัง เมื่อมาถึงห้องประชุม ก็เห็นพี่เขายืนอยู่บนเวที กำลังทดสอบไมค์ อาจมีผิดหวังนิดหน่อยที่ไม่ได้เห็นพี่เขาหิ้วกีต้าร์มาด้วย มีแต่อูกูเลเล่ ตัวหนึ่ง ในขณะเดียวกันข้างล่างเวทีก็มีสมาชิกรุ่นเดียวกับเรากำลังขออนุญาตถ่ายรูปกับพี่เขา เราก็ไปแจมด้วย สุดท้ายพี่เขาพาพวกเราให้ไปถ่ายรูปกันที่โซฟา เป็นเรื่องเป็นราว พวกเราก็จัดระเบียบยืนเข้าคิวรอถ่ายรูปกันอย่างมีความสุข บางคนก็เอาซีดีที่ซื้อหน้าห้องประชุมมาให้พี่เขาเซ็น ( เราก็ไปซื้อมา 2 แผ่น แต่ไม่มีทุ่งแสงตะวันแผ่นแรก พอถามพี่เขาก็บอกว่าไม่รู้จะหาที่ไหน ให้ไปดูที่บีทูเอส หรือกะทิกะลา ดู )

                พอถึงเวลาบรรยาย สไตล์พี่จุ้ย เราอยากบอกว่า เวลา 1 ชั่วโมงที่คนจัดมอบให้ ไม่พอเลย เพราะตลอดเวลา ได้ความรู้สึกอบอุ่น เพราะเสียงนุ่ม ๆ ได้ฟัง เนื้อหาดีดี และมีเสียงเพลงเพราะ ๆ คลอตลอด เราจะพยายามถ่ายทอดสิ่งที่ได้จากการฟังครั้งนี้ ( ไม่มีเสียงเพลงประกอบนะ ใครอยากฟังให้เปิดเพลงคลอเบา ๆ ระหว่างอ่านไปด้วย ก็ไม่ว่ากัน ) แต่ขอเราแสดงความคิดเห็นบ้างเล็กน้อย ( ด้วยตัวหนังสือเอียง)

 

                พี่จุ้ยบอกความรู้สึกว่าดีใจที่ได้มาที่นี่ แล้วก็บอกว่าตอนนี้เบื่อความบันเทิง เลยมาบรรยาย แต่การที่มีคนถ่ายรูปก็ไม่ว่ากัน แล้วหยอดว่า ถ้าอายุ 70 ปี ไม่มีคิว แต่ถ้าอายุ 17 มาได้ก่อน แล้วก็เล่าให้ฟังว่าเคยพาแม่ไปรพ. พอเห็นป้าย “ 70 ปี ไม่มีคิว ” แม่ก็ชวนพี่เขากลับบ้านเลย บอกว่าเขาไม่มีคิวให้แล้ว ( ฮา ) พี่บอกว่าเขียนแบบนี้อาจทำให้เข้าใจผิดได้ อาจต้องเปลี่ยน เช่น 70 ปีไม่ต้องรอคิว จะได้ไม่ต้องเกิดความกังขา เช่นนี้ ( เห็นด้วยมั้ย )

 

ในความคิด เรา ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ ฟังแล้วตลกอย่างเดียวนะ มันเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ เลยที่การสื่อสารข้อความอะไรออกไป เราควรมีการทวนสอบนะว่า สิ่งนั้นเขาอื่นเข้าใจตรงกับเราหรือเปล่า เพราะมันอาจสร้างความเสียหาย หรือสูญเสียอะไรบางอย่างไปก็ได้

 

                แล้วพี่เขาก็ร้องเพลงแรก เป็นเพลงชื่อ อะไรอยู่บนต้นมะพร้าว ที่ขึ้นต้นว่า เคยไหมเวลาครูถาม มะพร้าวมีมากที่ไหน หากใครรู้  ยกมือให้ครูชื่นใจ รู้ดีไม่ใกล้ไม่ไกล เราภูมิใจก็บ้านเราเอง (ผมภูมิใจก็บ้านผมเอง)

ฮัลโล...กู้ดมอร์นิ่ง   สวยจริงเกาะสมุย  หากได้เห็นทะเลแสนงามน้ำใน ฝรั่งก็ยังติดใจ  เราภูมิใจก็บ้านเราเอง

ลิงผมมันดีแท้ ไม่แพ้แม้พร้าวสูง หากใครเห็นวิธีที่มันปีนป่าย สอนลิงผมยังสอนได้ แสนสบายก็ลิงเราเอง

เป็นลิงต้องขึ้นต้นไม้ เป็นควายให้ไปทำนา เป็นคนต้องมีวิชา พอถึงเวลาต้องไปโรงเรียน …..

 

พี่เขาเล่นด้วยอูกูเลเล่ ประกอบไปด้วย เสียงพี่เขาเพราะมาก นุ่มเหมือนเดิม และเล่าให้ฟังถึงที่มาของเพลงนี้นะว่ามาจาก  2 เหตุผล ข้อแรกคือเป็นการให้ทำข้อสอบให้ได้ 1 คะแนน และข้อที่สอง คือเป็นสิ่งที่พ่อพี่จุ้ยสอน ที่เนื้อเพลงบอกว่า เป็นคนต้องมีวิชา พอถึงเวลาต้องไปโรงเรียน ที่บ้านจะส่งเสริมให้ไปโรงเรียน แม้การเดินทางจะลำบาก ไม่สะดวก แต่ที่บ้านก็มีกติกาว่า ตอนเช้าทันทีที่เด็กข้างบ้านร้องบอกว่า ไม่อยากไปโรงเรียน พ่อจะเรียกพี่เขาอาบน้ำ  และสอนว่าไม่ต้องถามว่า อยาก หรือไม่อยาก ให้ไปเลย และตอนกลับมาบ้านก็เหมือนกันมไม่ต้องถามว่าอยากทำการบ้านหรือไม่อยาก ให้ทำเลย ( หลักการนี้ ก็เอาไปใช้กับลูกได้นะ ) มุขนี้ก็เรียกเสียงฮาได้อีก

 

จริง ๆ นะ เด็กเหมือนผ้าขาว เราใส่อะไรกับเขาได้ทุกอย่างตอนเขายังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ บางทีไม่ต้องอธิบายเหตุผลอะไรมาก ให้มันบ่มเพาะเป็นนิสัย แล้วพอเขาโตแล้ว เราก็ค่อยอธิบาย หรือไม่ต้องบอก เพราะเขาจะรู้ด้วยตัวเขาเอง เพราะฉะนั้นสิ่งดีดีทั้งหลาย อย่าลืมเพาะ อย่าลืมปลูกฝังให้ลูกหลานเรานะ เช่นไม่โกง ไม่เอาเปรียบ ไม่ฟุ้งเฟ้อ ประหยัด ให้เขาทำเลย ไม่ต้องให้เขาคิดมาก เห็นด้วยกับพี่จุ้ย จริง ๆ

 

                หลังจากนั้นพี่ก็เล่าเรื่องของพ่อตัวเอง บอกว่าพ่อเป็นคนจริงจัง serious พอป่วยก็ป่วยหนักไปเลย ตอนนี้เป็นโรคหัวใจรักษาตัวอยู่กรุงเทพ ส่วนแม่จะตรงกันข้าม ไม่ป่วยด้วยโรคหนัก แต่เป็นทุกอย่างที่คนอื่นเป็น ทั้งเบาหวาน ความดัน สารพัด ทุกเดือน ทุกอาทิตย์ต้องไปหาหมอ เหมือนกับพี่จุ้ยเลย แต่พี่ค้นพบด้วยตัวเองว่า ร่างกายเราสามารถรักษาตัวเองได้ พี่เขาเป็นผื่น แต่คิวหาหมอยาวมาก พอถึงคิว ผื่นก็หายไปแล้ว ( ฮา ) เพราะคิวยาวมาก เป็นผื่นยังหายเลย และเวลาพี่เขาเจ็บคอ เขาก็รีบหายาแก้อักเสบมากิน อยากให้หายเร็ว สุดท้ายต้องตัดต่อมทอนซิล พอตัดได้ 2 อาทิตย์ กลับมาบ้านเจ็บคออีก ก็โกรธหมอ ไปหาหมอใหม่ หมอก็ตอบว่า ผมตัดต่อมทอนซิล ไม่ได้ตัดคอนี่ ( ฮา อีกรอบ ) สุดท้ายพี่จุ้ย ไปเจอหมออีกคน เขาให้คำแนะนำว่า ลองหายช้า ๆ บ้างมั้ย หมอก็เลยเอายาแบบอ่อน ๆ ให้ไป ให้เขาได้นอนหลับ และพอได้นอนบ่อย ๆ ผลที่เกิดขึ้นพบว่า เป็นปี ๆ แทบไม่ต้องไปหาหมอเลย ห้ลูกหลานเรานะ เช่นไม่โกง ไม่เอาเปรียบ ไม่ฟุ้ไม่ต้องอธิบายเหตุผลอะไรมาก เพราะฉะนั้นสิ่งดีดี  และสิ่งที่เกิดขึ้นตอนที่พี่เขานอนรพ.นาน ๆ เขาได้สติว่า ทำไมเราป่วยบ่อย เราพักผ่อนไม่พอหรือเปล่า เรากินอาหารไม่ดีหรือเปล่า ก็เลยมาปรับว่า ต่อไปจะไม่รีบกินยา ปวดหัวก็นอน รักษาร่างกายตัวเอง พี่เขาถามพวกเราว่า เคยอดอาหารบ้างหรือเปล่า แล้วก็ยกตัวอย่างหลายคนที่อดอาหารแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นตามมามีแต่สิ่งดีดี เช่นมหาตมะคานที พระพุทธเจ้า ล่าสุดก็เด็กร.ร.บดินเดชา ที่ได้เรียน ( ฮากันอีกรอบ ) แล้วพี่เขาก็เล่าว่า เขาไปเข้าคอร์สอดอาหารล้างพิษที่เกาะสมุยมา เวลาผ่านไป 3-4 วัน ร่างกายก็ฟื้นฟูตนเอง ตนแรกไม่กล้าทำ แต่ก็ผ่านไปได้ แต่สิ่งที่ยากที่สุดก็คือ เมื่ออดอาหาร แล้วต้องอดกาแฟด้วย ต่อรองก็ไม่ได้ มีแต่จะสวนกาแฟให้วันละ 2 ครั้ง ตนเองเป็นคนติดกาแฟมากคนหนึ่ง ดังนั้นการไม่ได้ดื่มกาแฟ 2 – 3 วัน มันทรมานมาก ( พี่บอกว่าเคยรู้มาว่า กาแฟมีสารเสพติดอยู่ในนั้นคล้ายยาบ้า ) แต่พองดไปได้ 4 วัน ก็หายปวดหัว พอวันที่ 5 ออกจากคอร์สได้ ตอนนี้พี่เขาก็เลิกได้แล้ว เพราะคิดว่าเลิกมาได้ 5 วันแล้ว ก็ลองเลิกต่อไป แล้วก็พบว่า เมื่อก่อนมีความสุขกับการได้ดื่มกาแฟ ตอนนี้ ก็มีความสุขอีกแบบ แบบไม่เป็นทาสมัน พี่เขาให้คำแนะนำว่า ถ้าเราเลิกยังไม่ได้ ก็อย่าไปใส่น้ำตาล ไม่ใส่ครีมเทียม ทุกวันนี้พี่เขาตื่นแต่เช้า ไม่รับข่าวร้าย ( ไม่ดูทีวี ) ไม่ดื่มกาแฟ

 

เรื่องนี้ก็ให้ข้อคิดได้ดีมากเกี่ยวกับ การดูแลสุขภาพตนเอง ซึ่งเราคิดว่า ทุกคนลองเอาหลักการไปใช้ได้นะ

 

เรื่องของแม่

                พี่เขาบอกว่า เขาเป็นคนโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวที่มีแม่อารมณ์ดี พี่เขาคิดว่า อาจเป็นเพราะแม่เรียนหนังสือมาน้อย ไม่คิดอะไรมาก พอเกิดอะไรขึ้น ก็คิดว่า “โชคดี” ตลอด วันหนึ่งครอบครัวถูกโจรขึ้นบ้าน พอกลับมาบ้าน แม่ก็บอกว่าโชคดีนะ ที่ตอนนั้นบ้านเราไม่มีใครอยู่ ไม่งั้น อาจสูญเสียมากกว่านี้ หรือตอนมีรถชนกันที่หน้าบ้าน แม่ก็บอกว่าโชคดีว่ะ รอดคนหนึ่ง ( ตายไป 3 แล้ว ) แกมองอะไรโชคดีตลอด ตอนที่ไปรับปริญญาหลานที่กรุงเทพ มีญาติตาย แกก็บอกโชคดีว่ะ มาทีเดียวได้ 2 งานเลย

พี่จุ้ยบอกว่า เวลาจะไปไหน ก็จะโทรบอกแม่ตลอด มีครั้งนึงจะไปลาว แม่ก็พูดว่า ขอให้โชคดีนะ พอพี่เขาไปถึงประเทศลาว เหยียบแผ่นดินลาวได้ก้าวเดียวลื่น พี่เขาก็พยายามคิดถึงแม่ ที่แม่บอกว่าโชคดี พยายามมองพื้นที่ล้มลงไป มองก็ไม่เห็นมีอะไรตกให้หยิบเป็นโชคเลย สุดท้ายก็คิดว่า โชคดีนะที่ลื่นแล้วไม่มีใครเห็น

                พี่เขาเล่าต่อว่า วันหนึ่งแม่โทรมาถามว่า แม่อ่านหนังสือ secret มีคนหนึ่งบอกว่าชีวิตมีความสุข ที่ “พอแล้ว” แม่ก็ถามพี่เขาว่า พอหรือยัง พี่เขาก็ตอบไปว่า ยังไม่พอ แต่ไม่โลภ แกก็ถามอีกว่า พอหรือยัง สุดท้าย ถึงรู้ว่า แม่ถามเพราะอยากรู้ว่าพอหรือยัง พอดีแม่จะขายที่ ถ้าพอแล้ว จะได้ไม่ต้องแบ่งให้ สุดท้ายพอไปบ้าน แม่ก็พาไปดูที่ ตอนแรกแม่บอกว่าจะให้เป็น10 ไร่แกก็พาไปแถวทะเล วัดไปวัดมา ได้แค่2 ไร่พี่เขาก็ถามแม่ว่า ไหนแม่บอกจะให้10 ไร่แม่ก็บอกว่านั้นไง อยู่ที่ทะเล มองไปสิจะเอาเป็นร้อยไร่ก็ได้  ( ฮาได้อีก ) แต่พี่เขาจบเรื่องนี้ว่า พอแม่ไม่สบาย อารมณ์แม่ก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน โมโหง่ายขึ้น เลยได้ความรู้ใหม่มา จากเดิมคิดว่า จิตกำหนดกาย แต่การเจ็บป่วยร่างกายก็กำหนดจิตได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจิตดีจะอยู่ในร่างกายที่อ่อนแอได้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ถ้าอยากมีความสุข ให้ร้องเพลง แต่ให้ร้องเพลง เพราะต้องการมีความสุข

 

การเป็นคนคิดแง่บวก เป็นสิ่งที่ทำให้เราอยู่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ การคิดแง่บวก คือการมองตามเป็นจริงแต่หาสิ่งที่ดีงามในเหตุการณ์นั้น ๆ แล้วหยิบมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ส่วนการกระตุ้นฐานกายต่าง  ๆ เช่นการร้องเพลง การนวด การอาบน้ำ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข หรือหลุดออกจากความทุกข์ที่เกิดขึ้นได้เช่นกัน ( เรามาร้องเพลงกันดีกว่า )

 

แล้ว พี่จุ้ย ก็ร้องเพลง เติมใจให้กัน ให้ที่ประชุมฟังกันต่อ ( เพราะมาก ๆ ขอบอก )

 

แล้ว พี่จุ้ย ก็พูดถึง เรื่อง หัวข้อในวันนี้ สุขศึกษา วิชาตัวเบา สุข ศึกษา มาจากเหตุผลที่ว่า ความสุขเกิดจากการศึกษา เหมือนกับ เวลาเราอ่านหนังสือ ทำให้เรามีความสุขได้ แล้วพี่เขาก็พูดถึงบอร์ดที่ติดในงานประชุมครั้งนี้ เขาบอกว่าข้อมูลเราเยอะมากเกินไป แล้ววกไปเรื่องตัวชี้วัด หรือเป้าหมายต่าง ที่งานสาธารณสุขรณรงค์ พี่เขาบอกว่า บางเรื่องมันเป็นไปไม่ได้ เช่น คนไทยไร้พุง เพราะเวลาคนในงานสาธารณสุขเองเดินลงจากรถ แต่ละคนก็มีพุงทั้งนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตั้งนั้นเป็นไปไม่ได้ อาจตั้งว่า คนไทยลดพุง ยังมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า พี่เขาเสนอแนะว่า หน้าที่ของพวกเราในขณะนี้ คือการรณรงค์ให้มากขึ้น แล้วยกตัวอย่าง ฟอร์เรน ไนติงเกล ว่ามีชื่อเสี่ยงเพราะอะไร ไม่ใช่มีนางพยาบาลไปอยู่ในที่นั้นคนเดียว แต่ทำไมคนอื่นไม่ดังเท่า เป็นเพราะฟอร์เรน เป็นคนแรกที่ตั้งข้อสังเกต การเสียชีวิตของทหารสัมพันธ์กับความสกปรก ทหารที่บาดเจ็บไม่ได้ตายจากอาวุธ แต่พบว่ามีความสกปรกอยู่ในค่าย เพราะฉะนั้น เห็นด้วยที่พวกเราจะลุกมารณรงค์ให้มากกว่าการรักษา เช่นการรณรงค์เรื่องเมาแล้วขับ นั้นที่บางประเทศนั้นเขาปรับทั้งคันแล้ว แล้วสถิติเรื่องคนที่เมาแล้วขับลดลงไปเลย  เพราะทุกคนก็ช่วยกัน ไม่ให้เกิดเรื่องนี้ ไม่เหมือนกับบ้านเราที่ปรับเฉพาะคนขับเท่านั้น หรือเรื่องหมวกกันน็อกก็เหมือนกัน ถ้าที่โน่นถ้าไม่สวมหมวกกันน็อค เขาไม่ปรับเงิน แต่ให้ไปซื้อหมวกแทน พี่เขาเสนอว่า เราต้องหาวิธีการรณรงค์ใหม่ ๆ กันแล้ว

 

เห็นด้วยกับพี่จุ้ยค่ะ เรื่องความสุขบางทีเราก็ต้องแสวงหาความรู้ในเรื่องการอยู่ให้มีความสุขเหมือนกัน และเรื่องวีการรณรงค์เรื่องสุขภาพ ก็ต้องให้ทันสมัย ถูกใจ ตรงใจ แล้วก็โดนใจ กับคนแต่ละยุค แต่ละสมัยด้วย เหมือนที่เราชอบเรื่อง ให้เหล้าเท่ากับแช่ง มันโดน มัน OK มากเลยแหละ

อีกเรื่องที่พี่เขาพาเราคิด คือพี่เขาบอกว่า เขามีเพื่อนเป็นพยาบาล เวลามีแผล เช่นแผลน้ำร้อนลวก พอเอาไปให้เขาทำแผล เขาก็ทำหน้าเฉย ๆ แล้วพูดว่า burn ระดับหนึ่ง แล้วก็ทำแผลไป พี่เขาบอกว่า พวกเราเป็นพยาบาลเห็นคนไข้เป็นแบบนี้ประจำ เห็นทุกวัน แต่เขาพึ่งเคยเป็น เขาเจ็บนะ เขาอยากให้เพื่อนรับรู้ความรู้สึกนั้นด้วยว่าเขาเจ็บ หรืออีกเหตุการณ์หนึ่งพี่เขาเคยพาพยาบาลไปดู concert ตูนบอร์ดี้แสลม พอเขาเห็นขาพี่ตูน เขาบอกว่าสงสัยตอนเด็กไม่รู้หยอดโปลิโอหรือเปล่า ทำให้ไม่อยากไปไหนกับพยาบาลเลย ทำลายจินตนาการไปหมด เรามองกันคนละมุม เรียนรู้เพิ่มเติมบางเรื่อง การสื่อสารกับผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญ เหมือนเราจะพบว่าหมอที่ถูกฟ้องเยอะ ๆ ไม่ใช่รักษาผิดพลาดหรอกนะ แต่เพราะเขาไม่คุยกับผู้ป่วย

 

                ฟังแล้วสะท้อนใจเลยนะ การเป็นพยาบาลทำให้เราเห็นเรื่องเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา แต่คนเจ็บเขาไม่ได้คิดเหมือนเรา เขามีความรู้สึกทุกข์ เขาต้องการความเห็นใจ เขาต้องการความเข้าใจในความเจ็บป่วยของเขา เพราะฉะนั้นพวกเราอย่าลืมนะ

 

และสุดท้าย ก็จบลงอย่างอบอุ่น ด้วย เพลงอิ่มอุ่น

 

เห็นมั้ยว่า 1 ชั่วโมง กับสุขศึกษาวิชาตัวเบา เราได้อะไรมากมาย ทั้งฟังเพลง สาระดี ดี ตัวเบาด้วยความสุขจริง ๆ

ขอขอบคุณ รพ.สวนสราญรมย์ ที่ให้โอกาสได้เข้าร่วมประชุมวิชาการในครั้งนี้ค่ะ

หมายเลขบันทึก: 503613เขียนเมื่อ 26 กันยายน 2012 21:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 กันยายน 2012 15:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)
  • อ่านเพลิน
  • ได้สาระและบันเทิงครบครับ
  • ขอบคุณครับ
  • ปณิธิ ภูศรีเทศ

ขอบคุณค่ะ กำลังเขียนถึงสิ่งที่ได้ฟัง คุณตัน อิชิตัน พูด ต่อจากพี่จุ้ยค่ะ เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเหมือนกัน ลองติดตามอ่านดูนะคะ

  • เก็บรายละเอียดได้เยอะจังค่ะ แค่อ่านก็เหมือนกับการได้เข้าฟังเอง
  • จะคอยติดตามต่อไปนะคะ

อ่านแล้วมีความสุขค่ะ ทำให้คิดถึงตอนไปดูคอนเสิร์ตพี่จุ้ย...ที่สุขแบบยิ้มได้ไปหลายวัน

อ่านจนตาลาย เลย สงสัยสายตาเรื่มยาวแล้ว  เก็บรายละเียดได้เยอะจริง ๆ  ขอบคุณนะคะ

 

ยินดีที่ได้มีโอกาสอ่านบทความดี ๆ นะคะ จะติดตามอ่านไปเรื่อย ๆ เลยค่า ชอบ ๆๆ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท