กฎแห่งกรรมจำแนกสัตว์ให้ประณีตและเลวทราม


กฎแห่งกรรมจำแนกสัตว์ให้ประณีตและเลวทราม

กฎแห่งกรรมจำแนกสัตว์ให้ประณีตและเลวทราม

กฎเเห่งกรรมเป็นกฎธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงไม่ใช่พระเจ้าสร้างขึ้น แต่เป็นกฎที่มีอยู่เเล้ว อันชีวิตของเราทุกคนนั้น ถูกควบคุมไว้ด้วยกฎเเห่งกรรมไม่มีใครมาควบคุมชีวิตของเรา เมื่อว่าตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว ชีวิตของเราทุกคนไม่ว่าจะเสื่อม จะเจริญ จะสุข จะทุกข์ จะก้าวหน้า จะถอยหลัง จะอายุสั้น จะอายุยืน ขึ้นอยู่กับกรรม คือการกระทำของเราทั้งสิ้นไม่ใช่ขึ้นอยู่ที่อำนาจดวงดาว ไม่ใช่อำนาจพระเจ้า ไม่มีอำนาจอื่นใดภายนอกที่จะบันดาลชีวิตของเราให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ นอกจากกฎแห่งกรรม เราต้องเข้าใจในหลักพระพุทธศาสนานี้เป็นศาสนาแห่งหลักกรรม เราเชื่อในกฎเเห่งกรรม คำว่ากรรม แปลว่า การกระทำ กรรมนั้นเป็นคำกลางๆ ถ้าหากว่ากระทำดีก็เรียกว่า กุศลกรรม ถ้าทำไม่ดีก็เรียกว่า อกุศลกรรม

        กฎเเห่งกรรมได้กล่าวไว้ย่อๆ ว่าผู้ที่ทำดีย่อมได้รับผลดี ผู้ที่ทำไม่ดีก็ย่อมได้รับผลที่ไม่ดีจะช้าหรือเร็วนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับกฎของกรรมนั้นเอง กฎของกรรมนี้ท่านได้เปรียบไว้ว่า เหมือนกับลูกฟุตบอลที่ถูกคนเล่นขว้างลงไปแรงมันก็กระดอนแรง ถ้าขว้างลงไปเบามันก็กระดอนมาเบา กรรมที่เราทำก็เหมือกัน ถ้าเราทำกรรมดีลงไปสิ่งตอบแทนกลับมาเป็นกรรมดี ถ้าทำกรรมไม่ดีลงไป สิ่งที่ตอบสนองมาก็คือ กรรมไม่ดี นี้เป็นกฎของทางด้านจิตใจ ตามกฎแห่งกรรมนั้น คนเราไม่อาจหวังผลดีของสิ่งที่ยังมาไม่ถึง คือ สิ่งไหนที่ยังมาไม่ถึง เราจะไปเล็งผลไว้ไม่ได้หรือเราทำชั่วไว้เเล้ว เราจะวิ่งหนีจากผลชั่วที่เราทำไว้ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันต้องถึงเวลาของมันจึงเป็นไปตามกฎธรรมชาติของมัน เฉพาะในตอนนี้ จะขอย้ำในข้อที่ว่า ทำไมคนเราจึงเกิดมาไม่เหมือนกัน แตกต่างกัน ทั้งความรู้ ความสามารถ รูปร่าง หน้าตา ทั้งๆ ที่เป็นสายเลือดเดียวกัน

        คำตอบนี้  พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในจูฬกัมมวิภังคสูตร ซึ่งปรากฏอยู่ในคัมภีร์มัชฌิมนิกายว่าเพราะกรรมจำแนกจึงทำให้สัตว์เเตกต่าง กัน โดยตรัสว่า กัมมัง สัตเต วิภชติ ยทิทัง หีนัปปนีตตายะ ซึ่งแปลว่า กรรมย่อมจำแนกสัตว์โลกให้แตกต่างกันคือ เลวทรามหรือปราณีต ข้อนี้ มีเรื่องปรากฏในคัมภีร์อรรกกถาของคัมภีร์พระสูตรนี้ ซึ่งในที่นี้จะนำมากล่าวเเต่โดยย่อว่า ทำไมคนเราจึงเกิดมาแตกต่างกัน กล่าวกันว่า

        ในสมัยที่พระพุทธเจ้าของเรายังทรงพระชนม์อยู่นั้น ณ เมืองสาวัตถี อันเป็นเมืองหลวงของแคว้นโกศล มีพราหมณ์คนหนึ่งร่ำรวยมาก ถึงขั้นมหาเศรษฐีทีเดียว ชื่อว่า โตเทยยพราหมณ์ เขามีบุตรชายอยู่หนึ่งชื่อสุภมาณพ พราหมณ์คนนี้มีสมบัติมหาศาล มีถึง ๘๙ โกฏิ  แต่พราหมณ์คนนี้ไม่เคยทำบุญเลย แม้แต่ข้าวสุกสักทัพพีเดียวก็ไม่เคยใส่บาตรให้พระสงฆ์ มีบ้านอยู่ไม่ไกลจากวัดเชตวันนัก ไม่เคยยกมือไหว้พระสงฆ์เลยแม้พระพุทธเจ้าเขาก็ไม่นับถือ ดอกไม้สักกำเขาก็ไม่เคยถวายพระ

        วันหนึ่งเศรษฐีโตเทยยะป่ายหนัก แล้วก็ตายเมื่อจะตายนั้น เขาเป็นห่วงทรัพย์สมบัติมาก เขาบอกลูกชายไม่ทันว่ามีทรัพย์สมบัติที่ฝังไว้ในดิน เพราะสมัยโบราณไม่มีธนาคาร โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย โดยมากเขาจะฝังทรัพย์ไว้ในดิน เรียก นิธิขุมทรัพย์เพราะกลัวโจรปล้น หรือถูกขโมย เมื่อฝังเเล้วโจรก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน พราหมณ์ผู้นี้ก็ได้ฝังทรัพย์เอาไว้มากมาย แต่ไม่ได้บอกให้คนในบ้านรู้ แม้แต่สุภมาณพ เขาก็ไม่บอก เพราะคิดว่าตัวเองยังเเข็งเเรงอยู่ได้อีกนาน เพราะไม่เคยเจ็บไข้เลย แต่วันนั้นเกิดป่วยกะทันหันด้วยโรคลมปัจจุบัน สุภมาณพก็ไม่อยู่บ้าน แต่เมี่อใกล้ตาย ด้วยความเป็นห่วงทรัพย์มาก จิตใจกระวนกระวาย กระสับกระส่ายอยู่สักพักก็สิ้นใจ เมื่อจะสิ้นใจจิตของพราหมณ์นี้ก็ติดอยู่ที่ทรัพย์ เมื่อตายไปจึงไปเกิดเป็นลูกสุนัขที่เลี้ยงไว้ในบ้าน เพื่อที่จะได้กลับมาเฝ้าสมบัติที่ตัวเองฝังไว้

        เมื่อลูกสุนัขนั้นโตขึ้นตามลำดับ สุภมาณเมื่อเห็นลูกสุนัขนั้นก็นึกรักด้วยอำนาจความผูกพันกันมาเมื่อชาติปาง ก่อน  ไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองได้มาเกิดเป็นสุนัข สุภมาณพปกติไม่เคยสนใจสุนัข แมวที่ไหนเลย แต่สุนัขตัวนี้ สภมาณพให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เลี้ยงดูเหมือนลูกคนหนึ่ง  เวลาจะนอนก็จะเอาลูกสุนัขมานอนในห้อง ทำที่นอนให้อย่างดีให้อาหารอย่างดี คือ คนที่เคยเป็นพ่อลูกกัน นั้นย่อมเกิดความรักต่อกันได้ง่าย เพราะลูกสุนัขก็เป็นสัตว์น่ารักอยู่เเล้ว

        วันหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์โลกเพื่อจะแสดงธรรม เมื่อทรงตรวจไปในเวลาใกล้รุ่งพระญาณของพระองค์ก็แผ่ไปสุภมาณพนี้ได้แผ่เข้า ไปในข่ายพระญาณของพระองค์ว่า ถ้าพระองค์มาบ้านของสุภมาณพนี้จะเกิดอะไรขึ้น พระองค์ก็ได้ทรงย้อนไปดูเรื่องของภายในบ้านหลังนั้นว่า มีอะไรเกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แล้วสุภมาณพก็จะได้นับถือพุทธศาสนา ส่วนพราหมณ์ที่เกิดเป็นสุนัขก็จะตายไปตกนรกเพราะกรรมของตน สุภมาณพไม่อยู่ออกไปนอกบ้าน ด้วยธุระบางอย่างเมื่อพระองค์เสด็จมาประทับยืนอยู่หน้าบ้านของสุภมาณพนั้น ก็ไม่มีใครออกมาใส่บาตรแม้แต่คนเดียว เพราะครอบครัวนี้ไม่นับถือพุทธศาสนา พระพุทธองค์เสด็จไปประทับยืนอยู่ที่หน้าบ้านของสุภมาณพนั้นก็มิได้มุ่งหมาย จะบิณฑบาตรแต่ประการใด มุ่งแต่จะแสดงธรรมเท่านั้นในบ้านนั้น ลูกสุนัขตัวน้อยเมื่อเห็นพระพุทธองค์มาประทับยืนอยู่หน้าบ้าน ก็ออกมาเห่า แสดงความไม่พอใจที่มีพระสงฆ์มายืนอยู่หน้าบ้าน พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรไปตามเสียงเห่านั้น เห็นลูกสุนัขตัวน้อยนั้น เดินเข้ามาใกล้ที่พระองค์ประทับยืนอยู่ พระองค์ก็ตรัสว่า โตเทยยพราหมณ์ เมื่อชาติก่อนเจ้าเป็นคน เจ้าก็ได้ดูหมิ่นเราจึงเกิดมาเป็นลูกสุนัข ชาตินี้เจ้ายังมาดูหมิ่นเราอีก เจ้าตายจากนี้แล้ว เจ้าก็จะต้องไปเกิดในนรก

 

 

ลูกสุนัขนั้นฟังเสียงพระพุทธเจ้าแล้วก็เข้าใจ จึงวิ่งคอตกเข้าไปในบ้าน แทนที่จะไปนอนบนที่นอนเดิม ที่สุภมาณพจัดให้อย่างสวยงาม แต่กลับไปนอนบนกองขี้เถ้ากลางเตาไฟ คนใช้เห็นอย่างนั้นก็ไปอุ้มมาเเล้ว เอาไปนอนบนที่นอนเดิมที่สวยงาม พอวางลงลูกสุนัขนั้นก็ลุกวิ่งไปนอนบนกองขี้เถ้าอีก อย่างนี้หลายครั้งจนกระทั่งสุภมาณพกลับมาเห็นเข้า จึงดุคนใช้ว่าใครเอาลูกสุนัขของฉันมานอนที่นี้ ถามด้วยความไม่พอใจ คนใช้บอกว่า มันมานอนเอง อุ้มไปนอนที่นอนเดิมหลายหนเเล้วมันก็วิ่งกลับมานอนกองขี้เถ้าอีก

        สุภมาณพ ถามว่า เพราะเหตใด คนใช้ว่า วันนี้พระพุทธเจ้ามาบิณฑบาต ลูกสุนัขก็ออกไปเห่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างนั้นๆ ลูกสุนัขได้ฟังแล้วก็วิ่งไปนอนบนกองขี้เถ้าอย่างที่ท่านมาเห็นนี้แหละพระ พุทธเจ้าตรัสกับลูกสุนัขนั้นแล้ว ก็กลับวัดเชตวันทันที สุภมาณพได้ฟังคนใช้รายงานให้ฟัง ดังนั้นก็โกรธทันที หาว่าพระพุทธเจ้าดูหมิ่นพ่อของตน แท้ที่จริงพ่อของตนไปเกิดเป็นพรหมเเล้ว ไม่ใช่เป็นสุนัข เพราะพวกพราหมณ์ทายว่าอย่างนั้น พระพทธเจ้ารู้ได้อย่างไร สุภมาณพโกรธมาก รีบเดินทางไปหาพระพุทธเจ้าทันทีคิดว่าจะไปต่อว่าให้สาแก่กใจเลยทีเดียว เมื่อไปถึงก็ไม่นั่งสนทนาอยู่ แต่ก็ยืนนานไม่ไหว จึงนั่งลงแล้วก็ทูลถามว่า พระองค์ไปที่บ้านของข้าพระองค์ใช่หรือไม่วันนี้ พระพุทธองค์ตรัสว่า ใช่ สุภมาณพ ทูลถามว่า เเล้วพระองค์ทราบได้อย่างไรว่าพ่อของข้าพระองค์เกิดมาเป็นสุนัข เป็นการดูลูกพ่อของข้าพระองค์มากนะพวกพราหมณ์บอกว่า พ่อของข้าพระองค์ไปเกิดเป็นพรหมเเล้ว ไม่ใช่เกิดเป็นสุนัขออย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าสุภมาณพ ถ้าเธอต้องการจะพิสูจน์เรื่องนี้ทดสอบก็ได้วันนี้ถ้ากลับไปจากที่นี้แล้วให้ เอาลูกสุนัขตัวนั้นของเธอกินข้าวมธุปายาสมีน้ำอ้อยผสม เมื่อมันอิ่มแล้วให้นอนสักครู่พอนอนเคลิ้มจะหลับจงกระซิบข้างหู ถามว่าพ่อขุมทรัพย์ที่พ่อฝังไว้นั้น พ่อเอาฝังไว้ตรงไหน เเล้วสุนัขตัวนี้ก็จะวิ่งนำไปยังที่ฝังทรัพย์แล้วเอาเท้าหน้าตะกายตรงที่เขา ได้ฝังทรัพย์ เจ้าก็จงให้คนใช้ขุดลงไปดูว่ามีทรัพย์อยู่จริงหรือไม่

        สุภมาณพ ได้ฟังดังนั้นก็นึกกระหยิ่มอยู่ในใจว่า เออทีนี้ ถ้าเราพิสูจน์เเล้วไม่จริง แล้วเราเองจะโพนทะนาไปทั่วเลยว่า สมณะองค์นี้เป็นคนโกหกพูดจาเหลวไหล แต่ถ้าจริงขึ้นมาเราก็ได้ทรัพย์ไม่ได้ขาดทุนอะไร เมื่อคิดดังนั้นเขาก็รีบกลับบ้าน ไปทำตามที่พระองค์ตรัสบอกไว้ทุกอย่าง พอสุนัขตัวน้อยกินข้าวอิ่มเเล้ว ด้วยการได้กินข้าวมธุปายาสผสมน้ำอ้อยที่มีรสหวานพอกินเสร็จ ก็เริ่มมีอาการง่วงนอน

        สุภมาณพเมื่อเห็นสุนัขง่วงก็จึงนำไปนอนบนที่นอนอันสิรินั้น สักครู่พอมันทำทีจะหลับสุภมาณพจึงกระซิบที่ข้างหูเเล้วถามว่า พ่อทรัพย์ที่ฝังไว้ไม่ได้บอกลูกว่าอยู่ที่ไหน สุนัขนั้นพอถูกถามอย่างนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าโอ้ลูกของเรารู้เเล้วหนอว่าเรา เกิดเป็นสุนัขก็หอนขึ้นเเล้ววิ่งไปที่ฝังทรัพย์เอาไว้ สุภมาณพได้วิ่งตามไปติดๆ สวนสุนัขพอวิ่งไปถึงที่ฝังทรัพย์เอาไว้ ก็เอาเท้าทั้งสองตะกายดินตรงที่ฝังทรัพย์เอาไว้เเล้วเพราะการที่ตัวเองต้อง เกิดมาเป็นสุนัขนี้ก็เพราะเป็นห่วงทรัพย์นั้นเอง

        เป็นที่น่าสังเกตว่าคนที่ใกล้จะตายแต่จิตใจเป็นห่วงทรัพย์บ้าง ห่วงคนบ้าง แต่พอตายไปก็จะไปเกิดเป็นงูบ้าง เป็นสุนัขบ้าง เป็นจิ้งจกบ้าง ตุ๊กเเกบ้าง บางคนก็ไปเกิดเป็นลูกของคนใช้ที่อยู่ในบ้านเขานั้นเอง หรือว่าจะเกิดเป็นอะไรก็เเล้วเเต่เวรกรรมของใครของมัน ทรัพย์สมบัติของใคร อยู่ที่ไหนเขาก็จะไปเกิดอยู่ที่ใกล้นั้นเอง  เมื่อสุนัขตะกายลงไปที่ดินนั้นสุภมาณพก็รีบให้คนใช้ขุดลงไปตรงนั้น น่าพิศวงเเท้ ทองคำที่แปรสภาพเป็นจาน ชาม รองเท้า พวงมาลัย ดอกไม้ล้วนเเต่เป็นทองคำทั้งนั้น และยังมีเหรียญเงินอีกต่างหาก อย่างละเเสนกหาปนะ สุภมาณพพอเห็นเข้าอย่างนั้นก็อทานในใจขึ้นมาทันที  “ฮือ ฮือ” พระพุทธเจ้าทราบได้อย่างไร สิ่งที่ภพชาติปิดบังไว้ก็ยังทรงทราบได้ ฉะนั้น พระองค์ต้องไม่ไช่พระธรรมดา  แน่นอนเเล้วต้องเป็นผู้ตรัสรู้เเน่เลย ทีนี้ชักจะเลื่อมใสเเล้วสุภมาณพจึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับทีนี้ไปถึง ยกมือไหว้ด้วยความอ่อนน้อม ไม่มีความขัดเคืองอยู่ในใจอีกเลยเเล้วทูลถามว่า ข้าเเต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าความดีความชั่วมีจริง อย่างนี้ทำไมคนเราเกิดมาจึงไม่เหมือนกัน ปัญหาที่สุภมาณพถามมีอยู่ ๑๔ ข้อ แต่จัดเป็นคู่มี ๗ คู่

คู่ที่ ๑ ถามว่า ทำไมบางคนมีอายุสั้นบางคนมีอายุยืน
คู่ที ๒ ถามว่า ทำไมบางคนมีโรคภัยไข้เจ็บมากบางคนมีโรคน้อย
คู่ที่ ๓ ถามว่า ทำไมบางคนรูปไม่สวยผิวพรรณทราม บางคนรูปสวยหน้าตาผิวพรรณก็สวย
คู่ที่ ๔ ถามว่า ทำไมบางคนมีศักดิ์ต่ำหรือไม่มียศถาบรรดาศักดิ์แต่บางคนเกิดมามีศักดิ์สูงคือ ยศตำเเหน่งสูง
คู่ที่ ๕ ถามว่า ทำไมบางคนยากจนบางคนร่ำรวย
คู่ที่ ๖ ถามว่า ทำไมบางคนเกิดในสกุลต่ำ บางคนเกิดในสกุลสูง
คู่ที่ ๗ ถามว่าทำไมบางคนเกิดมาโง่ บางคนเกิดมาฉลาดเป็นปัญหา

พระพุทธเจ้าก็ตรัสตกบเเก่สุภมาญพโดยทรงขยายความ กฎเเห่งกรรมไว้ใน จูฬกัมมวิภังคสูตร ค่อนข้างยาว แต่ในที่นี้ขอกล่าวเพียงโดยย่อ

        คู่ที่ ๘ การที่คนเราเกิดมามีอายุสั้น ก็เพราะเมื่อชาติปางก่อนเป็นคนชอบฆ่าสัตว์ ตัดชีวิตไม่รักษาศีล ด้วยอำนาจผลของการฆ่าสัตว์ ทำให้เขาตายไปตกนรกหมกไหม้ เสวยทุกข์อยู่นาน เมื่อหมดกรรมนั้นก็มาเกิดเป็นมนุษย์ เศษกรรมยังเหลือยู่ทำให้เขาอายุสั้น เพราะเคยฆ่าสัตว์

        ส่วนที่มีอายุยืนก็เพราะเมื่อชาติปางก่อนเขาเป็นคนรักษาศีล มีศีลธรรมประจำใน เมื่อเขาตายจากความเป็นมนุษย์ก็เกิดที่ดีมีความสุข เช่น ไปเกิดในสวรรค์ เมื่อพ้นจากภูมินั้นแล้วก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ด้วยบุญเก่าที่เคยทำจึงหนุนให้เขาอายุยืน

        คู่ที่ ๙ ส่วนคนที่เกิดมามีโรคภัยไข้เจ็บมากก็เพราะว่าเมื่อชาติปางก่อนเขาเป็นคนชอบ เบียดเบียนสัตว์ ทรมาน กักขัง คือทำลายให้ได้รับความเจ็บปวดอยู่เสมอ ให้ได้รับความเดือดร้อนอยู่เสมอๆ ทั้งคนและสัตว์เมื่อเขาตายไปก็ไปเกิดนรก ๕๐๐ ชาติ เมื่อพ้นจากนรกก็มาเกิดเป็นคน เศษกรรมเก่า และกรรมใหม่ที่สร้างขึ้นมาใหม่ในปัจจุบันนี้อีก จึงทำให้เขาเจ็บไข้ได้ป่วยเสมอๆ ไม่ค่อยมีความสุข

        ส่วนคนที่เกิดมาไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงหรือมีก็น้อยมาก เพราะชาติก่อนนั้นเขาเป็นคนมีเมตตาต่อสัตว์เเละคน มีความเมตตา กรุณา ปราณีต่อคนและสัตว์ทั้งหลาย เห็นคนและสัตว์ได้รับความลำบากก็ช่วยเหลือเกื้อกูลด้วยความเต็มใจไม่หวัง สิ่งตอบแทน เมื่อเขาตายไปก็ไปเกิดในที่ดีมีความสุข เช่น เกิดบนสวรรค์ หากหมดบุญจากสวรรค์ กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เศษบุญที่เขาทำยังมีอยู่จึงทำให้เขามีสุขภาพสมบูรณ์เเข็งเเรงไม่มีโรคภัยไข้ เจ็บ

        คู่ที่ ๑๐ ถามว่าทำไมบางคนเกิดมารูปไม่สวย ผิวพรรณทราม พระพุทธเจ้าตรัสว่า เพราะชาติก่อนเป็นคนขี้โกรธ มีความโกรธเป็นเจ้าเรือน เมื่อตายไปก็ไปเกิดในสถานที่ลำบากหรือตกนรกนั้นเเหละ แต่ไม่นานเมื่อพ้นจากสถานที่นั้นก็ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ยังมีเศษ กรรมอยู่จึงทำให้เป็นคนไม่สวย ผิวพรรณขี้เหร่ไม่น่ารัก เพราะเป็นคนขี้โกรธ ส่วนคนที่เกิดมามีรูปร่างหน้าตาสะสวยผิวพรรณงาม ก็เพราะเมื่อชาติปางก่อนเขาเป็นคนมีเมตตากรุณาต่อคนเเละต่อสัตว์ เป็นคนมีจิตใจเบิกบานไม่ขี้โกรธ เมื่อเขาตายไปเกิดในสวรรค์เมื่อกลับมาจากสวรรค์มาเกิดเป็นมนุษย์ก็ยังเป็นคน โชคดีมีความสุขมีรูปสวย รูปหล่อผิวพรรญงดงามเพราะเป็นคนไม่ขี้โกรธ

        คู่ที่ ๑๑ ถามว่าทำไมบางคนเกิดมาไม่มียศถาบรรดาศักดิ์เป็นคนมีวาสนาน้อยเป็นคนต้อยต่ำ พระองค์ก็ตอบว่าเพราะเมื่อชาติปางก่อนเขาเป็นคนริษยาคนอื่นเห็นคนอื่นได้ดี มีความสุขทนไม่ได้ ต้องหาเรื่องกลั่นแกล้งให้ได้รับความเดือดร้อน เพราะฉะนั้นเมื่อเขาเกิดมาชาตินี้จึงเป็นคนไม่มีวาสนาเป็นคนต้อยต่ำไม่มียศ ไม่มีตำแหน่ง ถ้ามีตำเเหน่งก็มักจะมีตำเเหน่งที่ต่ำเสมอ

        ส่วนคนที่มียศมีตำแหน่งสูงเพราะเมื่อชาติปางก่อนเขาเป็นคนที่ไม่มีความ อิจฉาริษยาใคร เห็นใครได้ดีก็พลอยยินดีด้วย เกิดมาชาตินี้เขาจึงเป็นคนโชคดีมียศตำเเหน่งสูง

        คู่ที่ ๑๒ ถามว่าบางคนทำไมเกิดมายากจนเเละมีสกุลต่ำก็ตอบว่า เพราะชาติก่อนเขาเป็นคน
ตระหนี่ ถี่เหนียว ไม่ชอบทำบุญทำทานมีเเต่อยากได้ของเขาฝ่ายเดียวเห็นของคนอื่นมีค่าเท่าเม็ด ทรายเห็นของตัวเองเท่าทองคำ ชอบเอารัดเอาเปรียบคนอื่นเขาจึงเกิดมาเป็นคนยากจน

        ส่วนคนที่เกิดมาเป็นคนร่ำรวย และมีสกุลสูง ก็เพราะว่าชาติก่อนเขาเป็นคนว่าง่ายกตัญญูต่อพ่อแม่มีจิตใจชอบทำบุญให้ทาน ยินดีในการบริจาคไม่ตระหนี่ถี่เหนียว

        คู่ที่ ๑๓ ถามว่าทำไมบางคนเกิดในสกุลต่ำ ก็ตอบว่า เพราะชาติก่อนเป็นคนเเข็งกระด้างไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ เมื่อตายไปจึงไปเกิดในที่ลำบาก ในนรก เป็นต้น เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์จึงเกิดในสกุลต่ำ เช่น สกุลจัณฑาล หรือ พวกชาวประมง หรือเกิดในที่เเร้นแค้น ทุรกันดาร อดอยาก ลำบากเดือดร้อน

        ส่วนคนที่เกิดในสกุลที่สูงเเละร่ำรวยถึงขั้นเศรษฐี  เพราะว่าเมื่อชาติปางก่อนเขาเป็นคนอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ ต่อสมณพราหมณ์ ต่อผู้ประพฤติดี และเพราะเขาเป็นคนมีศีลรักษาศีลไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร เมื่อเขาตายไปเขาจึงไปเกิดที่ดีมีสวรรค์ เป็นต้น เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ด้วยเศษบุญที่เขาเคยทำไว้จึงทำให้เขาได้ไปเกิดใน สกุลที่สูงศักดิ์และร่ำรวยเช่น สกุลกษัตริย์ สกุลเศรษฐี หรือสกุลเจ้านาย ป็นต้น

        คู่ที่ ๑๔ ถามว่า ทำไมบางคนเกิดมาจึงเป็นคนโง่ ก็ตอบว่าเพราะเมื่อชาติก่อนนั้น เป็นคนไม่เข้าไปไต่ถามศึกษาหาความรู้ต่อสมณพราหมณ์ ต่อผู้ประพฤติดี ต่อผู้รู้คุณธรรม จึงเป็นคนโง่ในชาติปัจจุบัน

        ส่วนคนที่เกิดมามีปัญญาฉลาดเพราะเข้าไปไต่ถามหาความรู้ต่อสมณพราหมณ์ ต่อผู้ประพฤติดี ถามถึงบาปบุญคุญและโทษ เป็นต้น ฉะนั้นจึงเกิดมาเป็นคนมีปัญญา รู้เท่าทันคน

        นี้คือ ปัญหา ๑๔ ข้อ ที่สุภมาณพได้ทูลถามต่อพระพุทธเจ้า สุภมาณพได้ฟังแล้วก็เลื่อมใสได้ประกาศตัวนับถือต่อพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ระลึก ส่วนสุนัขนั้นก็ตายไปเกิดในนรกตามกรรมของตน

        จากเรื่องนี้จะชี้ให้เห็นว่า คนเราเเต่ละคนเกิดมาไม่เหมือนกัน เพราะกรรมเป็นตัวบันดาลไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่อำนาจของดวงดาว แต่บางคนบอกว่าค้าขายไม่ดี ไม่ได้กำไรหรือได้กำไรน้อยหรือรับราชการไม่ดี ดวงไม่ให้ กลับไปเชื่อถือ เรื่องของดวง แท้ที่จริง กรรมที่เราเคยทำไว้เองเมื่อในอดีตต่างหากที่ดลบันดาลมา แล้วเราจะเเก้กรรมเหล่านี้โดยเฉพาะในด้านทีไม่ดีอย่างไร คำตอบก็คือทำกรรมดีเข้าไปมากๆ ในที่สุดกรรมที่ไม่ดีจะจางหายไปเเล้วก็สามารถจะพบกับความสุขได้ในที่สุด โดยรักษาศีล ๕ ให้บริบูรณ์

หมายเลขบันทึก: 503103เขียนเมื่อ 22 กันยายน 2012 11:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 ธันวาคม 2012 16:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท