ข้อมูลทั่วไปของประเทศมาเลเซีย
ประเทศมาเลเซีย หรือชื่อทางการว่า “สหพันธรัฐมาเลเซีย” (Federation of Malaysia) เป็นประเทศในภูมิภาคที่แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน คือ คาบสมุทรมลายู และทางเหนือของเกาะบอร์เนียว มีพื้นที่ราว 329,847 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 28.72 ล้านคน (สำรวจปี 2554) และมีความหลากหลายทางเชื้อชาติสูง ประเทศมาเลเซียมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมลายู นอกจากนี้ยังมีชาวอิบัน ชาวกาดาซัน-ดูซุน ชาวบาเจา ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน และเชื้อสายอินเดีย รวมถึงเชื้อสายไทย และชนพื้นเมืองเดิม เช่น โอรัง อัสลี เป็นต้น
นับถือศาสนาอิสลาม (55%) ศาสนาพุทธ (25%) ศาสนาคริสต์ (13%) ศาสนาฮินดู (7%) และลัทธิศาสนาพื้นเมือง (4%) ภาษาทางการคือ ภาษามาเลย์
ปัจจุบัน ประเทศมาเลเซียจัดการปกครองแบบสหพันธรัฐราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยมีสมเด็จพระราชาธิบดีเป็นประมุข แบ่งการปกครองเป็น 13 รัฐ และ 3 เขตการปกครองภายใต้สหพันธรัฐ คือ กรุงกัวลาลัมเปอร์ (เมืองหลวง) เมืองปุตราจายา (เมืองราชการ) และเกาะลาบวน
ในด้านเศรษฐกิจ มาเลเซียเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับสมาชิกสมาคมอาเซียนอื่นๆ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติมั่งคั่ง เช่น ป่าไม้ ยางพารา สินแร่ต่างๆ รวมทั้งน้ำมันปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ โดยเป็นประเทศผู้ผลิตยางพาราที่สำคัญของโลก และมีแหล่งเหมืองแร่ดีบุกส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของโลก ส่งออกไม้เป็นอันดับ 2 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากอินโดนีเซีย[1] สกุลเงินของประเทศมาเลเซีย คือ ริงกิต
การเข้าเป็นสมาชิกของอาเซียน
มาเลเซียเป็นอีก 1 ประเทศผู้ร่วมก่อตั้งสมาคมอาเซียน โดยการร่วมลงนามในปฏิญญากรุงเทพฯ ของนายตุน อับดุล ราชัก บิน ฮุสเซน รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ วัตถุประสงค์ของหลักของการเข้าร่วมก่อตั้งสมาคมอาเซียนของมาเลเซียนั้น สืบเนื่องมาจากปัญหาความมั่นคงทั้งภายในประเทศ ระหว่างมาเลเซียกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงความมั่นคงในภูมิภาคที่มาจากผลกระทบจากสงครามเย็น สิ่งเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อความมั่นคงทางการเมืองและการพัฒนาเศรษฐกิจของมาเลเซีย สภาวะของมาเลเซียก่อนที่จะมีการรวมตัวเป็นสมาคมอาเซียนนั้น มาเลเซียมีปัญหาสำคัญ คือ
1) ปัญหาการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ แม้รัฐบาลจะสามารถปราบปรามคอมมิวนิสต์ในปี 2503 ได้สำเร็จ แต่คอมมิวนิสต์ส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อสายจีนที่แทรกแซงในหมู่ผู้ใช้แรงงาน และกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
2) ปัญหาชนกลุ่มน้อยหรือความแตกต่างทางเชื้อชาติ ทั้งชาวจีน อินเดีย ปากีสถาน ไทย และชนพื้นเมืองเดิม ซึ่งคนเชื้อสายจีนนับว่ามีจำนวนมากที่สุด และเป็นกลุ่มคนที่มีปัญหาความขัดแย้งกับชาวมลายูมาโดยตลอด จนมีเหตุการณ์ความขัดแย้งอย่างรุนแรงเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2512 หลังมาเลเซียได้เข้าร่วมอาเซียนเพียง 2 ปี
3) ปัญหาที่เกิดกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ปัญหาความขัดแย้งกับฟิลิปปินส์กรณีการอ้างสิทธิเหนือดินแดนซาบาห์ การเผชิญหน้ากันกับอินโดนีเซีย ปัญหาความขัดแย้งกับสิงคโปร์ภายในสหพันธ์มาเลเซีย เนื่องจากสิงคโปร์ต้องการแยกตัวออกจากสหพันธ์ หรือกับไทยเกี่ยวกับเรื่องพรมแดนและผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ การเข้าร่วมอาเซียนจึงมีส่วนช่วยลดความรุนแรงของความขัดแย้งลงไปในระดับหนึ่ง
จากปัญหาดังกล่าว ได้ทำให้ผู้นำมาเลเซียมองเห็นว่าอาเซียนจะช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดแก่มาเลเซียทั้งภายในประเทศและในด้านต่างประเทศ จึงนำไปสู่การที่มาเลเซียเข้าร่วมก่อตั้งสมาคมอาเซียน เพื่อผ่อนคลายปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว ในสถานะที่เป็นประเทศสมาชิกเดียวกัน
บทบาทของมาเลเซียในอาเซียน
นับตั้งแต่มาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 2500 เป็นต้นมา ผู้นำและรัฐบาลมาเลเซียต่างให้ความสนใจต่อการร่วมมือในระดับภูมิภาคเป็นอย่างมาก จนอาจกล่าวได้ว่า มาเลเซียเป็นประเทศแรกที่ริเริ่มและสนับสนุนแนวความคิดเกี่ยวกับภูมิภาคนิยม (Regionalism) อย่างแข็งขัน เริ่มจากการก่อตั้งสมาคมอาสา สมาคมมาฟิลินโด กระทั่งมาถึงการรวมตัวก่อตั้งอาเซียน ถึงแม้ว่ามาเลเซียจะไม่ได้เป็นประเทศผู้นำในการก่อตั้งอาเซียน แต่ก็ได้ให้ความร่วมมือตลอดมา
โดยในปี 2522 มูลค่าการค้ามาเลเซีย-อาเซียนได้เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า แสดงถึงนโยบายทางเศรษฐกิจใหม่ของมาเลเซียที่ได้ให้ความสำคัญกับประเทศในอาเซียนเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากความต้องการเป็นอิสระจากการพึ่งพาต่างประเทศเพิ่มขึ้น ในปี 2534 มาเลเซียได้มีการปรับตัวเองขนานใหญ่ภายใต้แผนพัฒนาที่เรียกว่า “วิสัยทัศน์ 2020” หรือ “Vision 2020” (ภาษามาเลย์ใช้คำว่า “Wawasan 2020”) เน้นปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในแบบของมาเลเซียให้ได้ในปี 2020 โดยการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม และจากการทำงานตามวิสัยทัศน์ที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มาเลเซียกำลังใกล้จะบรรลุผลและจะนับเป็นประเทศที่สองในอาเซียน ต่อจากสิงคโปร์ที่จะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและไปได้เร็วกว่าประเทศไทย
ในด้านบทบาทการเป็นประธานอาเซียน มาเลเซียได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 2 วันที่ 4-5 สิงหาคม พ.ศ.2520 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยมีการลงนามปฏิญญาของอาเซียน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้ มั่นคง แข็งแรงและแข็งแกร่ง สามารถทำงานได้และมีความเป็นหนึ่งเดียว
และการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 11 วันที่ 12-14 ธันวาคม พ.ศ.2548 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ จนนำมาสู่ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ในเอเชียตะวันออก ปฏิญญาสถานการณ์ไข้หวัดนกในการป้องกัน ควบคุมและแก้ปัญหา รวมถึงการดำเนินการของโครงการเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนและสหพันธรัฐรัสเซีย 2005-2015 การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียน กับประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ตลอดจนร่วมวางข้อกำหนดของกฎบัตรอาเซียน เป็นต้น
ดีมากๆเลยคร๊าาาาาา....<**>
- 555
ดีแล้วนะคะ แต่ให้เนื้อหาเยอะกว่านี้///