เรียนรู้อุดมศึกษาออสเตรเลีย : 1. เตรียมตัว


การทำหน้าที่อุดมศึกษาในสภาพที่ฝ่าย “ผู้ใช้” (demand side) เป็นผู้กำหนดความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ นี่คือแนวโน้มโลก และสภาพของไทยก็จะอยู่ในแนวโน้มเดียวกัน ซึ่งก็หมายความว่า ฝ่ายมหาวิทยาลัยต้องพัฒนาทักษะในการจับทิศทางความต้องการของ demand-side

เรียนรู้อุดมศึกษาออสเตรเลีย  : 1. เตรียมตัว

สถาบันคลังสมองของชาติ จัดการเดินทางไปร่วมประชุม The 7th annual University Governance and Regulations Forum ที่นครแคนเบอร์ร่า ออสเตรเลีย ระหว่างวันที่ 4-5 ก.ย. 55   พร้อมทั้งดูงานมหาวิทยาลัยที่นั่น    ผมได้รับคำชวนให้ร่วมไปด้วย   และมีรายการดูงานด้าน Scholarship of Teaching and Learning ที่ ซิดนีย์ด้วย ในวันที่ 6-7 ก.ย.   รวม 3 งาน

เข้าไปดูหัวข้อการประชุมของ University Governance and Regulations Forum จะเห็นว่า เขาไม่พูดกันเฉพาะเรื่องการกำกับดูแล   เขาพูดเข้าไปในเนื้อของการทำหน้าที่มหาวิทยาลัย   เช่นเรื่องการทำหน้าที่อุดมศึกษาในสภาพที่ฝ่าย “ผู้ใช้” (demand side) เป็นผู้กำหนดความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ    นี่คือแนวโน้มโลก และสภาพของไทยก็จะอยู่ในแนวโน้มเดียวกัน   ซึ่งก็หมายความว่า ฝ่ายมหาวิทยาลัยต้องพัฒนาทักษะในการจับทิศทางความต้องการของ demand-side   และในการสื่อสารร่วมมือกัน

อีกเรื่องหนึ่งที่เขาเอามาพูดกันคือเรื่อง regional campus  ซึ่งหมายความว่า เขาต้องปรับตัวทำงานให้ตรงความต้องการของท้องถิ่น   ผมอยากรู้ว่าเขาปรับโครงสร้างการทำงานแค่ไหน   ผมเคยเสนอไว้ให้แก่คนชุมพรให้คิดวางโครงสร้างมหาวิทยาลัยชุมพรเขตรอุดมศักด์ให้เป็นมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของชาวชุมพร   และมีโครงสร้างตามประเด็นหลักๆ ที่ต้องการพัฒนา    ไม่ใช่จัดตามวิชา    จัดตั้ง “คณะพัฒนา” ไม่ใช่คณะวิชา    ตั้ง “ภาคพัฒนา” ไม่ใช่ภาควิชา    โดยที่หน่วยงานต้องมีอาจารย์หลายสาขาวิชาทำงานร่วมกัน   ตามบันทึกนี้

วันที่สองของการประชุม เน้นเรื่องคุณภาพของอุดมศึกษา    ผมได้รู้จักหน่วยงาน TESQA ที่ชื่อก็บอกแล้วว่า สมศ. ของเราเรียนรู้จากเขา    แต่ของเขาแยกการดูแลอุดมศึกษาออกมา    เมื่อเข้าไปดูที่เว็บไซต์ของ TEQSA ก็รู้สึกว่าเขาทำงานต่างจาก สมศ.   คือ สมศ. ทำงานรับผิดชอบต่อรัฐ   แต่ TESQA ทำงานรับผิดชอบต่อนักศึกษา    เขาบอกว่า TEQSA’s primary aim is to ensure that students receive a high quality education at any Australian higher education provider.

    อ่านจาก เว็บไซต์ ที่นี่ จึงรู้ว่า TEQSA เพิ่งตั้งเมื่อปีที่แล้วนี่เอง    และมีข้อสังเกตว่าเขาเอา Q นำหน้า S (คุณภาพนำหน้ามาตรฐาน)  แต่ของเรากลับกัน

มิน่า การประชุมถึงเอาเรื่อง risk มาไว้ปนกับ TEQSA   เพราะ TEQSA ตั้งใหม่   มีข้อกำหนดใหม่ที่มหาวิทยาลัยอาจไม่เข้าใจ และทำผิดกติกา เกิดเป็น compliance risk   และ quality risk    ผมจึงจ้องไปเรียนรู้มุมมองของออสเตรเลียต่อกระบวนการคุณภาพของอุดมศึกษา

เรื่องที่น่าสนใจมากกลายเป็นของแถม คือการไปดูงานเรื่อง scholarship of teaching ที่ ซิดนีย์   ซึ่งเอาเข้าจริงได้เรื่อง scholarship of engagement แถมมาด้วย   ผมได้เรียนรู้ว่าเขามีการตั้งหน่วยงานรับผิดชอบขับเคลื่อนเรื่องทั้งสอง   ในด้านวิชาการด้านการเรียนการสอน มีเรื่องของ Institute for Teaching and Learning (ITL) University of Sydney ที่นี่  รวมทั้งมีการตั้งสมาคมนานาชาติด้วย คือ The International Society for the Scholarship of Teaching & Learning (ISSOTL)  ซึ่งเมื่อเข้าไปชมเว็บไซต์ ก็ไม่ประทับใจ   ดูเรื่องขององค์กรชื่อ Engagement Australia ได้ที่นี่  

ผมได้เรียนรู้ว่า มหาวิทยาลัยซิดนีย์ใหญ่มาก มี นศ. กว่า ๕ หมื่นคน และมี ๑๖ คณะ   คณะศึกษาศาสตร์เป็นหนึ่งใน ๑๖   แต่เขาก็ยังมีหน่วยงาน ITL ทำหน้าที่ขับเคลื่อนคุณภาพการเรียนการสอนของทั้งมหาวิทยาลัย   และทำงานร่วมกับวงการนานาชาติด้วย 

จากเว็บไซต์ของ Engagement Australia ผมได้เรียนรู้ว่า มหาวิทยาลัยในออสเตรเลีย มีหน่วยงาน Office of Community Engagement (OCE)    ตรงกับที่ผมเคยเสนอไว้ที่นี่   

ผมได้เรียนรู้ว่า Engagement Australia เป็น ฟอรั่ม ที่มหาวิทยาลัยช่วยกันตั้งขึ้น เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนให้มหาวิทยาลัยในออสเตรเลียเข้าไปใกล้ชิดกับสังคมหรือบ้านเมืองมากขึ้น    ไม่ลอยตัวจากสังคม    และ EA ทำงานเน้นใน ๓ เรื่องคือ (1) Engaged research  (2) Engaged teaching  และ (3) Social responsibility   

ผมค้นไปค้นมาในเว็บไซต์ของ EA ไปพบหนังสือ The Engaged University : International Perspectives on Civic Engagement เขียนโดย Sir David Watson และคณะ   ค้นไปเรื่อยๆ ก็ได้ความรู้สึกว่า สมัยนี้สังคมทั่วโลกเริ่มตั้งข้อสงสัย หรือเสื่อมความนับถือต่อมหาวิทยาลัย ว่ามีประโยชน์ต่อสังคมแค่ไหน   มหาวิทยาลัยจึงต้องหันมาเอาใจใส่ปรับปรุงตัวเองในด้าน Social engagement   ที่มหาวิทยาลัย Northwestern University ในสหรัฐอเมริกา มี Center for Civic Engagement

ทำให้ผมตีความว่า ปัญหาหอคอยงาช้าง หรือปัญหาลอยตัวหรือแยกตัวจากสังคม เป็นปัญหาของวงการศึกษาทุกระดับทั่วโลก   เพราะคนในวงการศึกษาบูชาความรู้หรือวิชา    ไม่ยกย่องเอาใจใส่ชีวิตจริงของผู้คนในสังคม   มองไม่เห็นคุณค่าของความรู้ที่ฝังแฝงอยู่กับการทำงานและการดำรงชีวิตร่วมกันเป็นชุมชนและสังคม

เป้าหมายสุดท้ายของการทำหน้าที่กรรมการสภามหาวิทยาลัยจึงได้แก่การขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยสู่การ เป็นภาคีของการพัฒนาสังคมนั่นเอง

จากการทำความรู้จัก Sir David Watson ผมจึงได้รู้จัก Green Templeton College ของมหาวิทยาลัย อ็อกซฟอร์ด   และได้เรียนรู้วิธีปรับเปลี่ยนมหาวิทยาลัยแห่งอดีตให้เป็นมหาวิทยาลัยแห่งอนาคต   และGTC ทำหน้าที่เป็นแหล่งการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาเพื่อความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ในอนาคต    จึงเป็นสถาบันสหวิทยาการ ได้แก่วิทยาศาสตร์การแพทย์ การจัดการ และสังคมศาสตร์    จะเห็นว่า Sir David Watson ผู้เคยเป็นอธิการบดี (ของมหาวิทยาลัย ไบรท์ตัน) มาแล้ว    มารับหน้าที่ Principal ของวิทยาลัย โดยไม่ถือเป็นการลดความสำคัญ 

วิจารณ์ พานิช

๒ ก.ย. ๕๕   

หมายเลขบันทึก: 502409เขียนเมื่อ 16 กันยายน 2012 09:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 กรกฎาคม 2014 12:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท