การบูรณาการภายในวิชาเดียวกัน ก็มีได้หลายระดับ หากมีความสัมพันธ์ความรู้หลากหลายประเภท
สอนภาษาไทยอย่างไรให้บูรณาการ
เฉลิมลาภ ทองอาจ
โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ความที่โลกมีหลายมิติ ความที่ชีวิตมีหลายด้าน และความที่ปัญหามีหลายเงื่อนปม จึงเป็นเหตุให้บ้างครั้ง เราไม่อาจมองโลกในมิติเดียว ไม่อาจดำเนินชีวิตเพียงแบบเดียวและไม่อาจแก้ปัญหาบางประการด้วยวิธีเดียว การผสมผสานมุมมอง วิถีความเป็นอยู่ หรือวิธีแก้ปัญหาให้หลากหลายขึ้น เหล่านี้ ล้วนแต่เป็นการบูรณาการ ที่ประสบพบในการดำเนินชีวิตประจำวัน
การศึกษา คือ ระบบแห่งการบูรณาการ เพราะเกิดจากผสมผสานองค์ความรู้และการปฏิบัติในด้านต่างๆ จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการบริหาร หลักสูตรและการสอน จิตวิทยาการเรียนรู้ การวัดประเมินผล การประกันคุณภาพ ฯลฯ ไว้ในระบบเดียวกัน ซึ่งถ้าจะสังเกตให้ดีแล้ว การทำงานของส่วนประกอบเหล่านี้ ยังแยกกันอยู่มาก และมีหลายครั้งทีเดียวที่พบว่า มิได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ดังจะเห็นได้จากวาทกรรมที่เรามักจะวิจารณ์กันว่า “หลักสูตรในโรงเรียนเป็นอย่างหนึ่ง แต่วัดประเมินผลเป็นอีกอย่างหนึ่ง” เป็นต้น ซึ่งภาพของการทำงานแยกส่วนเช่นนี้ แม้ในรายวิชาเช่นวิชาภาษาไทยก็ยังคงพบอยู่
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กำหนดให้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ประกอบด้วยสาระการเรียนรู้ 5 สาระการเรียนรู้ ซึ่งแต่ละสาระฯ มีตัวชี้วัดแตกต่างกันออกไป ที่จริงแล้ว การกำหนดตัวชี้วัดดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อการบูรณาการเป็นอย่างยิ่ง แต่น่าเสียดายที่ในการจัดทำหลักสูตร โดยเฉพาะหลักสูตรรายวิชาในระดับของหน่วยการเรียนรู้ สถานศึกษาหลายแห่งกลับเรียงลำดับหน่วยการเรียนรู้ไปตามลำดับที่กำหนดหลักสูตร เช่น บางโรงเรียนกำหนดว่า หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 การอ่าน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การเขียน เช่นนี้ ไปจนกระทั่ง หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม ส่งผลให้หลักสูตรรายวิชาแทบจะทุกระดับชั้น ประกอบด้วยหน่วยการเรียนรู้ 5 หน่วย ซึ่งที่จริงแล้ว หลักสูตรมิได้มีเจตนารมณ์เช่นนั้นแต่อย่างใด ที่เป็นเช่นนี้ อาจจะเป็นเพราะความไม่เข้าใจเกี่ยวกับการบูรณาการ และลักษณะของการบูรณาการก็เป็นได้
จากการสังเคราะห์แนวคิดในด้านความหมายของการบูรณาการของนักวิชาการพบว่า การบูรณาการ คือ การผสมผสานองค์ความรู้และทักษะวิธีการปฏิบัติ (knowledge และ skill) ในระดับต่างๆ กัน โดยหากเป็นการบูรณาการเพียงการนำองค์ความรู้หรือทักษะต่างๆ มาให้นักเรียนได้เรียนรู้ โดยยังคงมีลักษณะของความรู้และทักษะที่แยกประเภทกันชัดเจน ลักษณะเช่นนี้ ในทางทฤษฎีจะเรียกว่าการบูรณการ “พหุวิชา” หรือ “สหวิทยาการ” (multidisciplinary) แต่เมื่อใดก็ตามที่ค่อยๆ เพิ่มระดับเพื่อหลอมรวมองค์ความรู้และทักษะบางประการเข้าไว้ด้วยกัน จนเริ่มเกิดเป็นความสัมพันธ์ “ระหว่าง” องค์ความรู้ หรือระหว่างทักษะมากขึ้นกว่าแบบแรก ก็จะเรียกการบูรณาการลักษณะนี้ว่า การบูรณาการ “ระหว่างวิชา” (interdisciplinary) และหากสามารถหลอมรวมองค์ความรู้และทักษะต่างๆ จนเกิดเป็นความรู้หรือทักษะใหม่ ที่ข้ามพ้นความรู้และทักษะเดิมที่นำมาประกอบกัน โดยมิได้คงเหลือให้เห็นเค้าเดิมแล้วไซร้ ก็จะเรียกการบูรณาการในระดับสูงสุดนี้ว่า การบูรณาการข้ามวิชา หรือการข้ามไปจากความรู้และทักษะเดิม (transdisciplinary) (Choi และ Pak, 2006: 359) เมื่อการ บูรณาการมีตั้งแต่ระดับพื้นฐาน “แยกองค์ความรู้” ไปจนกระทั่งถึง “หลอมรวม” แล้วสร้างองค์ความรู้ใหม่เช่นนี้ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยสามารถที่จะบูรณาการในระดับใดได้บ้าง
ก่อนที่กล่าวถึงแนวทางในการบูรณาการ จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจเป็นเบื้องต้นก่อนว่า ที่มีความเข้าใจโดยทั่วไปว่า การสอนแบบบูรณาการจะต้องเกิดขึ้นจากการใช้ผู้สอนหลายคน ที่สอนวิชาต่างๆ กันมาทำงานร่วมกันนั้น อาจจะมิได้ถูกต้องนัก เพราะแนวคิดการบูรณาการในต่างประเทศจะมุ่งเน้นไปความเป็นเอกเทศของความรู้มิใช่ตัวผู้สอน และหากเราพิจารณาให้ลึกลงไปแล้วจะพบว่าในกลุ่มสาระหนึ่งๆ ก็ประกอบด้วยองค์ความรู้และทักษะหลายๆ องค์ความรู้ที่แยกเป็นเอกเทศอยู่แล้ว ก่อนที่จะนำมาจัดรวมกันเป็น “กลุ่ม” ของสาระการเรียนรู้ภายหลัง ด้วยเหตุนี้ ครูหรือผู้สอนเพียงคนเดียว ย่อมสามารถจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการได้ในหลายๆ ระดับดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น มิติของการบูรณาการในที่นี้ แม้จะมีขอบเขตอยู่ภายใต้ขอบเขตรายวิชาเดียว แต่ก็มุ่งเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์หรือการใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้และทักษะย่อยๆ ในการพัฒนาผู้เรียน
ไม่มีคำตอบที่ตายตัวในเรื่องของการเลือกใช้รูปแบบวิธีการบูรณาการ ทั้งนี้ ครูภาษาไทยจำเป็นจะต้องพิจารณาความพร้อมในด้านต่างๆ ก่อนดำเนินการบูรณาการให้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านนโยบาย ตารางเวลา บุคลากรและวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับการบูรณาการในระดับพื้นฐานหรือระดับสหวิทยาการ หากพิจารณาในแง่ขององค์ความรู้และทักษะ จะเห็นได้ว่ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยแบ่งความรู้และทักษะออกเป็น 5 กลุ่มด้วยกัน ในการเริ่มต้นการบูรณาการแบบสหวิทยาการ ควรจะเริ่มจากการจัด “หน่วยการเรียนรู้สหวิทยาการ” ซึ่งครูภาษาไทยอาจกำหนดหน่วยการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนใช้ความรู้และทักษะจากสาระการเรียนรู้ต่างๆ ของกลุ่มสาราการเรียนรู้ภาษาไทยก็ได้ เช่น
1. หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 “ภาษาวาที” บูรณาการระหว่างสาระหลักการใช้ภาษา สาระการฟัง การดูและการพูด โดยครูจะสอนหลักการเลือกใช้ถ้อยคำ การเรียบเรียงประโยค และหลักการสื่อสาร เพื่อให้นำมาใช้ในการพูดในที่ประชุมชนลักษณะต่างๆ จะเห็นได้ว่าในกรณีนี้ ครูยังคงต้องสอนหลักภาษาก่อนหลักการพูด โดยประเมินแต่ละส่วนแยกกัน
2. หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 “วรรณคดีลิขิต” บูรณาการระหว่างสาระการเรียนรู้วรรณคดีและวรรณกรรม กับสาระการเรียนรู้การเขียน โดยครูให้นักเรียนอ่านวรรณคดีและวรรณกรรมแล้วเขียนแสดงความคิดเห็นต่อวรรณคดีและวรรณกรรมในลักษณะต่างๆ ที่สัมพันธ์กับชีวิตของตนเอง ในกรณีนี้ ต้องแยกสอนและประเมินระหว่างหลักการวิจารณ์วรรณกรรมกับหลักการเขียน
3. หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 “อ่านคิดเรียบเรียง” บูรณาการระหว่างสาระการเรียนรู้การอ่านและการเขียน โดยครูให้นักเรียนศึกษาเขียนงานเขียนลักษณะต่างๆ ที่ดำเนินการหลังจากได้ศึกษาหลักการอ่านข้อมูลจากสื่อและแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ในกรณีนี้ ครูยังต้องสอนหลักการอ่านแยกกับหลักการเขียน และแยกส่วนการประเมิน
อย่างไรก็ตาม หากครูภาษาไทยสามารถที่จะพัฒนาหน่วยการเรียนรู้ในลักษณะที่ค่อยๆ ผสมผสานองค์ความรู้และทักษะในแต่ละสาระการเรียนรู้ได้มากขึ้น อย่างน้อยเป็นการเชื่อมโยงและให้นักเรียนใช้ความรู้หรือทักษะที่บูรณาการนั้นร่วมกัน โดยผลิตผลงาน โครงการ กิจกรรมหรือการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นการใช้ความรู้และทักษะที่เริ่มจะนำมาใช้แบบผสมกลมกลืนกัน แต่ยังคงเค้าของสิ่งที่นำมาผสมผสานกัน ก็ย่อมเรียกได้ว่าเป็นการบูรณาการในระดับระหว่างวิชา (interdisciplinary) (ในที่นี้เป็นในระดับระหว่างองค์ความรู้หรือทักษะ) ตัวอย่างหน่วยการเรียนรู้ระหว่างวิชา เช่น
1. หน่วยการเรียนรู้ “ภูมิปัญญาภาษาไทย” ให้นักเรียนนำความรู้และทักษะจากสาระการเรียนรู้หลักการใช้ภาษาไทย สาระการเรียนรู้การอ่านและสาระการเรียนรู้การเขียน มาใช้จัดทำ “สมุดบันทึกภูมิปัญญา” โดยรวบรวมตัวอย่างการใช้ถ้อยคำ สำนวน หรือประโยคในลักษณะต่างๆ ที่แสดงให้เห็นภูมิปัญญาจากสื่อการอ่านประเภทต่างๆ อย่างหลากหลาย แล้วนำมาเขียนเรียบเรียงและนำเสนอให้น่าสนใจ
2. หน่วยการเรียนรู้ “ภาษาพัฒนาชีวิต” ให้นักเรียนนำความรู้จากสาระการเรียนรู้ การอ่าน การฟัง การดู และการพูด มาใช้ในการทำโครงการ “ภาษาวาทะ” โดยให้นักเรียนพูดนำเสนอแนวทางการนำข้อมูลความรู้จากสิ่งที่ตนเองอ่าน ฟังหรือดู ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและผู้อื่น
3. หน่วยการเรียนรู้ “ภาษากับการคิด” ครูให้นักเรียนนำความรู้จากสาระการเรียนรู้วรรณคดีและวรรณกรรม การอ่าน การเขียน การฟัง การดูและการพูด มาใช้ในการจัดทำผลงาน “วรรณกรรมมีชีวิต” โดยให้นักเรียนอ่านวรรณกรรมปัจจุบันที่น่าสนใจ จากนั้นเขียนบทบาทของตัวละครโดยผสมผสานความคิดของตนเองเข้าไป ในลักษณะของการเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์หรือพฤติกรรมในเรื่องแล้วให้ผู้เรียนคนอื่นๆ พูดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนั้น
การบูรณาการข้ามวิชาหรือข้ามองค์ความรู้ข้างต้นจะสำเร็จได้ เมื่อครูสามารถคิดค้นกิจกรรมหรือภาระงานที่สะท้อนให้เห็นการผสมผสานความรู้และทักษะจากสาขาต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งการวัดประเมินก็จะไม่แยกประเมินทีละส่วน แต่จะประเมินภาพรวมของภาระงานที่ได้รับมอบหมาย เพื่อพิจารณว่าผู้เรียนได้สังเคราะห์ความรู้และทักษะผ่านการปฏิบัติผลงานต่างๆ ในลักษณะใดและอยู่ในระดับใด การจะทำให้เกิดการบูรณาการขึ้นได้ในรายวิชาภาษาไทยในสถาบันการศึกษาต่างๆ จึงต้องเริ่มจากการปรับปรุงหน่วยการเรียนรู้ที่แสดงให้เห็นความคิดเชิงสังเคราะห์มากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างที่กล่าวมา เป็นเพียงตัวอย่างของระดับการบูรณาการเพียง 2 ระดับภายใต้กลุ่มสาระการเรียนรู้เดียว โดยมีมิติเน้นไปที่ระดับของการบูรณาการองค์ความรู้และทักษะในสาระต่างๆ เฉพาะภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย จากตัวอย่างที่ได้แสดงไปจะเห็นได้ว่า คุณลักษณะของครูภาษาไทยที่จะจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการได้คือ ต้องเป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์ เพราะการบูรณาการในระดับที่สูงสุดก็คือ การหลอมรวมและสร้างสิ่งใหม่จากพื้นฐานเท่าที่ตนเองมีอยู่ ให้เกิดขึ้นให้จงได้ การบูรณาการจึงกระทำได้ เพราะเป็นการสร้างสรรค์ในทุกระดับ ทั้งในระดับภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้ หรือข้ามกลุ่มสาระการเรียนรู้ ครูภาษาไทยจึงควรเร่งพัฒนาตนเองให้มองโลก และมองชีวิตที่ซับซ้อนอย่างสร้างสรรค์ นั่นจึงจะเป็นประตูสู่โลกแห่งการสอนบูรณาการโดยแท้
_____________________________________________________
รายการอ้างอิง
Choi, B. C. K. and Pak, A. W.P. 2006. Multidisciplinarity, interdisciplinarity and transdisciplinarity in health research, services, education and policy: 1. Definitions, objectives, and evidence of effectiveness . Clinical and Investigative Medicine 29 (December): 351–364.