เฉลิมลาภ ทองอาจ
โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
"เทรน" หรือแนวโน้มที่กำลังอยู่ในความนิยมของผู้ติดตามกระแสการศึกษาโลกประการหนึ่งก็คือ "ผู้เรียนในศตวรรษที่ 21" และ "การศึกษาในศตวรรษที่ 21" ซึ่งไปไกลมากกว่าการศึกษาสำหรับประชาคมอาเซียน ผู้เขียนเองก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้เคยนำเสนอประเด็นเรื่องการศึกษาสำหรับศตรวรรษที่ 21 ไปบ้างแล้วในบทความเรื่องต่อไปนี้
แต่ภายหลังเมื่อได้ทบทวนว่า กว่าจะถึง 100 ปีข้างหน้า ถ้าประชาคมโลกยังหาทางออกไม่ได้เกี่ยวกับการดำเนินการเรื่องการจำกัดปริมาณก๊าซเรือนกระจก สงครามระหว่างทวีป ความแตกต่างระหว่างชนชั้น การแบ่งแย่งทรัพยากร ซึ่งทั้งหมดส่งผลให้โลกของเรามิได้เป็นเช่นเดิมอีกต่อไป เพราะเธอกำลังแปรปรวนและหงุดหงิดง่ายเป็นที่สุด เช่นนี้แล้ว การหวังว่าผู้เรียนของเราจะต้องเป็นเช่นนั้น เช่นนี้ เรียนรู้ด้วยวิธีการนั้น วิธีการนี้ หรือเรียนรู้ทุกอย่างแต่ไม่เคยเรียนรู้สิ่งที่เรียกว่า "ธรรมดาโลก" หรือสนใจแต่เพียงว่า ครูจะเกิดการเรียนรู้เรื่องนั้น เรื่องนี้ หรือการศึกษาควรเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งหมดที่ว่ามา ดูจะเป็นการคิดเอาแต่ตนเองโดยมิได้คำนึงถึงเธอ (โลก) สักเท่าไหร่ ก็เมื่อไม่คำนึงเช่นนี้ เธอก็ไม่จำเป็นจะต้องสนใจพวกเราใช่หรือไม่ และที่สุดแล้ว เป็นไปได้ไหมที่เธออาจจะตัดความรักจากมนุษยชาติไปก็ได้ เช่นนี้ เมื่อโลกเกิดภัยพิบัติ นักการศึกษาทั้งหลายที่ไม่ได้คิดถึงโลกจะทำอะไรได้....เพราะศตวรรษที่ 21 อาจไม่มีโลก ไม่ประเทศ ไม่มีชุมชนแห่งการศึกษา และไม่มีการศึกษาอะไรเหลือให้ต้องพัฒนาอีก นอกจากผืนน้ำอันกว้างใหญ่และซากปรักหักพัง ที่แสดงให้เห็นว่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ ณ ที่นี้มานานนักแล้ว...
พิจารณาด้วยตนเองเถิดว่า วิกฤตอุทกภัยใน ช่วงปลายปี พุทธศักราช 2554 (กันยายน-พฤศจิกายน) ถือว่าเป็นพิบัติภัยที่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศจนยากที่จะเยียวยา ภัยธรรมชาติในครั้งนี้ นอกจากจะทำลายระบบเศรษฐกิจ ทรัพย์สินและชีวิตของประชาชนแล้ว หากพิจารณในมิติด้านการศึกษา ก็อาจจะกล่าวได้ว่า อุทกภัยในครั้งนี้ได้สั่นคลอนความเชื่อมั่นเกี่ยวกับคุณภาพของการศึกษาไทยไป ในขณะ เดียวกันด้วย เพราะหากหลักสูตรการศึกษาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน สามารถที่จะสร้างประชากรให้มีสมรรถนะด้านความพร้อมต่อการเผชิญพิบัติภัย แล้ว (calamity readiness) ภาพการตื่นตระหนกของประชาชน การแย่งซื้อสินค้าและการแย่งชิงของบริจาค การทำลายคันกั้นน้ำหรือการทะเลาะเบาะแว้งเรื่องการระบายน้ำระหว่างชุมชน ดังที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เป็นนิจก็คงจะไม่เกิดขึ้น
นักหลักสูตรและการสอนจะต้องตั้งโจทย์ที่สำคัญและถือเป็นวาระเร่งด่วนว่า ถึงเวลาแล้ว หรือยัง ที่สังคมไทยจะต้องนำประเด็นเรื่องพิบัติภัย เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบการศึกษา และการนำเข้ามานั้นควรจะดำเนินการในรูปแบบหรือวิธีใด บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตอบคำถามดังกล่าว ด้วยการนำเสนอแนวคิดให้มีหลักสูตรพิบัติภัยศึกษา (calamities studies programme) ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานของชาติ ซึ่งแต่เดิมหลักสูตรในลักษณะนี้เป็นหลักสูตรที่ไม่เป็นทางการ (informal programme) ของหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบรรเทาสาธารณภัย นักหลักสูตรจะต้องนำมโนทัศน์หรือ “สาระการเรียนรู้” จากหลักสูตรดังกล่าวมาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรใหม่ ที่สอดคล้องกับผู้เรียนในระดับชั้นต่างๆ และบรรจุไว้เป็นหลักสูตรที่เป็นทางการในระบบการศึกษาไทยนับแต่บัดนี้ แต่การดังกล่าวจะสำเร็จได้ จำเป็นที่จะต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนโมทัศน์ในการพัฒนาหลักสูตรเสียก่อน ว่า ความต้องการของสังคมโดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับการสร้างความมั่นคงและ ปลอดภัยให้กับชีวิต (security of life) คือพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาหลักสูตร หาใช่ความต้องการในด้านการสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจไม่ น่าแปลกใจที่ปัจจุบันมีแต่การกล่าวถึงการพัฒนาหลักสูตรอาเซียนศึกษา ซึ่งเป็นหลักสูตรเพื่อตอบสนองความต้องการในด้านเศรษฐกิจ แต่กลับไม่มีการพูดถึงหลักสูตรภัยภิบัติศึกษา ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของชีวิต เมื่อไม่มีหลักสูตรสำหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ผลที่ตามมาและสร้างความเจ็บปวดอย่างยิ่งก็คือ ประชากรของเราไม่ทราบว่าสถานการณ์ใดคือพิบัติภัย และไม่ทราบเสียด้วยซ้ำว่า ในสถานการณ์ดังกล่าวจะดำรงชีวิตให้อยู่รอดและช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างไร หากไม่สามารถที่จะพึ่งพิงหน่วยงานราชการได้
หลักการสำคัญใน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์หรือการให้การศึกษา เพื่อที่จะให้บุคคลเกิดการเรียนรู้เรื่องใดๆ ก็คือ จะต้องเติมเต็มความต้องการขั้นพื้นฐานของพวกเขาให้สมบูรณ์พร้อมเสียก่อน ความต้องการขั้นพื้นฐานในที่นี้ หากใช้ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการ (hierarchy of needs) ของ Abraham Maslow มาอธิบายก็หมายถึง ความต้องการทางด้านกายภาย (physiological needs) และความต้องการด้านความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิต (safety needs) ดังนั้น ในการจัดการศึกษา จะต้องมีการจัดสิ่งแวดล้อมหรือบรรยากาศทั้งในด้านกายภาพและด้านจิตใจ ที่ทำให้ผู้เรียนรู้สึกมั่นคงและปลอดภัยในชีวิตยามเกิดพิบัติภัย เช่น สถานศึกษาอาจมีการจัดเตรียมเสบียงอาหาร อุปกรณ์ชูชีพหรือเครื่องช่วยชีวิต เรือ อุปกรณ์สื่อสาร เป็นต้น ซึ่งในทางทฤษฎีหลักสูตรแล้ว การจัดสิ่งแวดล้อมดังกล่าวก็คือส่วนหนึ่งของการจัดหลักสูตรด้วยเช่นกัน แต่ทั้งนี้ ก็มีข้อที่น่าสังเกตเช่นกันว่า สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งแวดล้อมทางวิชาการ (academic environment) ที่จะจัดให้แก่ผู้เรียนเพื่อสร้างความรู้และสมรรถนะในการเผชิญพิบัติภัยโดย ตรง ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าจะมีการจัดสิ่งแวดล้อมทางภายภาพ เพื่อให้เกิดบรรยากาศของความปลอดภัย เช่น การจัดให้มีอุปกรณ์ชูชีพหรือเครื่องช่วยชีวิตไว้ในสถานศึกษาหรือที่พักอาศัย ผู้เรียนก็จะยังไม่รู้สึกว่าตนเองปลอดภัยหากเกิดอุทกภัยขึ้นมาจริง เพราะพวกเขาไม่รู้วิธีการเผชิญภัยและไม่สามารถที่จะใช้อุปกรณ์ใดๆ ดังที่กล่าวมานี้ได้ การสร้างความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิตให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง จึงจะต้องมาจากการที่ผู้เรียนมีความรู้เสียก่อนว่า สถานการณ์แบบใดที่เรียกว่าภัย ภัยเหล่านั้นจะมาในลักษณะใด และตนเองจะมีวิธีการเผชิญภัยเหล่านั้นด้วยอุปกรณ์อะไรและวิธีการอย่างไรได้ บ้าง จากนั้นจึงดำเนินการปฏิบัติตนเองเพื่อจัดการพิบัติภัย (calamities management) อย่างเหมาะสม ความรู้และสมรรถนะดังกล่าวนี้ ย่อมได้มาจากการจัดสิ่งแวดล้อมทางวิชาการหรือ “ประสบการณ์การเรียนรู้” (learning experiences) ที่บรรจุไว้ในหลักสูตรพิบัติภัยศึกษานั่นเอง
หลักสูตรพิบัติภัยศึกษา (calamities studies programme) หมายถึง ประสบการณ์ การเรียนรู้เกี่ยวกับพิบัติภัยต่างๆ ที่ผู้เรียนอาจจะต้องเผชิญ ซึ่งประสบการณ์ดังกล่าวหมายรวมถึงความรู้เกี่ยวกับพิบัติภัยและวิธีการเผชิญ พิบัติภัย ทักษะการเผชิญและจัดการพิบัติภัย เช่น ทักษะการจัดเตรียมอุปกรณ์ดำรงชีพและช่วยชีวิต ทักษะการอพยพ ทักษะการดำรงชีพเมื่อขาดแคลนอาหาร ทักษะการขอความช่วยเหลือ ทักษะการหาข้อมูลข่าวสาร ทักษะการปฐมพยาบาล ฯลฯ รวมถึง เจตคติหรือคุณลักษณะที่จำเป็นต่อการเผชิญพิบัติภัย เช่น การมีสติ ความอดทน การมองโลกในแง่ดี ฯลฯ ซึ่งในการเรียนรู้และฝึกฝนจำเป็นที่จะต้องแยกออกมาจากหลักสูตรการศึกษาของ รายวิชาต่างๆ เนื่องจากมีทั้งสาระ ทักษะและคุณลักษณะเฉพาะซึ่งต้องใช้เวลาและกระบวนการในการฝึกหัดมากพอควร และที่สำคัญ หลักสูตรพิบัติภัยศึกษาในที่นี้มิได้หมายถึง หลักสูตรลูกเสือ (boy scout programme) ที่ใช้ทั่วไปในสถานศึกษา เพราะหลักการสำคัญของหลักสูตรลูกเสือก็คือ การทำความดีหรือสงเคราะห์ผู้อื่นทุกวัน (do a good turn daily) และวัตถุประสงค์ของหลักสูตรก็คือ การสร้างเสริมความเชี่ยวชาญในการผจญภัยและการสำรวจธรรมชาติ พัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะความเป็นผู้นำ เป็นผู้ที่มีไมตรีจิต ปฎิบัติตนตามหลักศาสนาและมีความรับผิดชอบต่อธรรมชาติ (Boy Scouts of America, 2009: 13) จากเป้าหมายและวัตถุประสงค์ดังกล่าว หลักสูตรพิบัติภัยศึกษาจึงมีความต่างจากหลักสูตรลูกเสือ เพราะหลักสูตรพิบัติภัยศึกษาจะมีขอบเขตที่แคบลงมาแต่เฉพาะการศึกษาเรื่อง “ภัย” ทั้งที่เกิดจากธรรมชาติและจากการกระทำของมนุษย์ แต่จะขยายองค์ความรู้เกี่ยวกับการเผชิญพิบัติภัยให้ครอบคลุมพิบัติภัยประเภท ต่างๆ มากยิ่งขึ้น และหลักสูตรจะมีวัตถุประสงค์สำคัญ คือ เพื่อให้ความรู้ ทักษะและคุณลักษณะที่สำคัญและจำเป็นสำหรับเตรียมผู้เรียนให้พร้อมที่จะเผชิญ ภัยอย่างมีสติ สามารถจัดการ ดัดแปลงหรือปรับเปลี่ยนอุปกรณ์หรือเครื่องใช้ต่างๆ เพื่อช่วยให้ตนเองมีชีวิตอยู่รอดได้ท่ามกลางสภาพที่ยากลำบาก และสามารถที่จะให้การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยอุปกรณ์เท่าที่จะสามารถหาได้
ดังที่ได้กล่าวมานี้ หลักสูตรพิบัติภัยศึกษา จึงเป็นหลักสูตรที่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ความรู้และสร้างเสริมสมรรรนะที่จำเป็นสำหรับการสร้าง ความปลอดภัยให้ตนเอง และช่วยเหลือผู้อื่นยามเมื่อต้องประสบพิบัติภัย อันจะช่วยลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นหลายๆ ประการ นักหลักสูตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตร จะต้องตระหนักถึงความสำคัญและจำเป็นของหลักสูตรพิบัติภัย ในฐานะกลไกสำคัญที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิต ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญก่อนที่พวกเขาจะเรียนรู้หรือปฏิบัติงานอื่นๆ การศึกษาและเรียนรู้เรื่องพิบัติภัยสำหรับสภาวะการณ์ในปัจจุบัน จึงไม่ใช่เรื่องที่ “ควรจะ” ทำและเป็นวาทกรรมที่ที่ไร้ผลในทางปฎิบัติอีกต่อไป แต่จะต้องเป็นเรื่องที่ “ต้อง” ทำให้เกิดขึ้นในกระบวนการพัฒนาและปฏิรูปหลักสูตรของชาติ
_________________________________________