การเข้าถึงอาตมัน (อัตตา) ในกฐะอุปนิษัท


เรื่อนรู้อาตมัน เพื่อเข้าใจอัตตา และ อนัตตา ในพุทธศาสนา

การเข้าถึงอาตมันที่ปรากฏในกฐะอุปนิษัท

        สิ่งต่าง ๆ  ล้วนแต่มีอยู่  เพื่ออาตมันและรับใช้อาตมันทั้งสิ้น   อาตมันสิงสถิตในสิ่งดังกล่าวเหล่านี้  และทำให้สิ่งเหล่านี้ดำรงอยู่อย่างมีความหมาย  แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นสิ่งเดียวกับอาตมัน  เพราะว่าอาตมันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความเป็นไปของสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  และบุคคลก็ไม่สามารถที่จะรู้หรือเข้าถึงอาตมันได้ด้วยประการต่าง ๆ  ไม่ว่าการสอนหรือความฉลาดรอบรู้   แต่ผู้ที่เข้าถึงอาตมันได้นั้น    ผู้นั้นต้องเป็นผู้ที่อาตมันเป็นผู้เลือกด้วย  ดังข้อความที่กล่าวไว้ใน กฐะอุปนิษัทว่า

            อาตมันเป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยการสั่งสอน     ไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยความฉลาดรอบรู้    ไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยการศึกษาได้ยินได้ฟังมาก   อาตมันย่อมถึงได้แก่ผู้ที่อาตมันเลือกเท่านั้น  แก่ผู้นั้นแล  อาตมันเผยตนให้ประจักษ์

           คนแม้มีปัญญามากก็หาใช่ว่าจะเข้าถึงและรู้ถึงสวภาวะของอาตมันได้   และแม้ว่าเราจะศึกษาและมีความรู้ก็ตาม  จึงไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เรามีหรือเป็นสิ่งที่เราต้องการได้  เหมือนกับอาตมัน  ถ้าอาตมันไม่ได้เลือก  เราจึงไม่สามรถที่จะเข้าถึงอาตมันได้   จึงให้เราต้องมีชีวิตอยู่ในท่ามกลาง อวิทยา  คือความไม่รู้   ในสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเราอีกมากมาย   แต่ตัวเราเองชอบคิดว่าตัวเองเป็นผู้รู้มาก  เขาเหล่านั้น ย่อมเวียนวนไปในที่ต่าง ๆ   เหมือนคนตาบอดถูกคนตาบอดจูงไปหาทางออกไม่เจอ  และก็ไม่รู้ว่าจะเจอทางออกเมื่อไรด้วย   นี้ก็เป็นผลจากความไม่รู้ความจริงของอาตมันและตัวเอง   ดังข้อความที่กล่าวไว้ในกฐะอุปนิษัทว่า

            ความไม่รู้และความรู้   ทั้งสองนี้ย่อมตรงกันข้ามกัน และนำไปสู่จุดหมายที่ต่างกัน    นะจิเกตะ ข้าคิดว่าเจ้ามีความมุ่งหมายที่จะได้ความรู้   ด้วยเหตุที่ว่าความสนุกสนานทั้งหลาย  ไม่อาจชักนำเจ้าให้หลงใหลได้                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                  

               บุคคลผู้มีชีวิตอยู่ในท่ามกลางความไม่รู้   แต่คิดว่าตัวเองเป็นธีรชนและเป็นบัณฑิตมากด้วยความรู้  ย่อมเวียนวน อยู่ที่นี่บ้างและที่นั่นบ้าง   เหมือนคนตาบอด  ถูกคนตาบอดจูงไป

            อาตมันไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยถอยคำของการอธิบาย   หรือด้วยใจในการคิด  หรือด้วยนัยน์ตาในมองเห็น  สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจ และเข้าถึงอาตมันได้  ดังข้อความที่กล่าวไว้ในกฐะอุปนิษัทว่า

             บุคคล (อาตมัน) ไม่สามารถที่จะเข้าถึงได้ด้วยคำพูด  ด้วยใจ  ด้วยนัยน์ตาแล้วจะเข้าใจพระองค์ได้อย่างไร  นอกจากจะพูดว่าพระองค์มีอยู่

           และการที่จะรู้แจ้งเข้าใจและเข้าถึงอาตมันได้นั้น  เราต้องรักษาใจของเราให้มั่นคง  เพราะว่าใจของเรานั้นก็เปรียบได้กับสิ่งที่ควบคุมตัวเราให้สามารถที่จะเดินทางไปในจุดหมายที่เราต้องการได้  และบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง  ดังข้อความที่กล่าวไว้ในกฐะอุปนิษัทว่า

           สำหรับนรชนผู้เป็นสารถี  ผู้รู้แจ้งเข้าใจ  เมื่อกุมบังเหี้ยน  คือ  ใจไว้ได้  เขาย่อมบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง  ซึ่งก็คือที่ประทับสูงสุดของพระวิษณุ

            นอกจากนี้  กฐะอุปนิษัทยังกล่าวว่าการรู้แจ้งก็ยังสามารถทำให้เราเข้าใจและสามารถเข้าถึงสวภาวะของอาตมันมากขึ้น  เพราะการรู้แจ้งซึ่งอาตมัน  กล่าวคือ  รู้ว่าอาตมันก็คือพรหมัน  เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้   ไม่ได้เกิดมาจากสิ่งใด   เป็นอมตะ   อาศัยอยู่ในสิ่งทั้งปวง   ตามแต่สิ่งที่มันเข้าไปอยู่จะมีรูปร่างเป็นอย่างไร  และมันก็อยู่พ้นจากสิ่งเหล่านั้นด้วย   และการรู้สิ่งเหล่านี้ก็คือการรู้จักตัวเองโดยแท้   และความรู้นี้จะปลดปล่อยมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์และถึงเป้าหมายของชีวิตได้  ดังข้อความที่กล่าวไว้ใน  กฐะอุปนิษัทว่า

            ถ้าผู้ฆ่าคิดว่า   ตนเป็นผู้ฆ่าและตนเป็นผู้ถูกฆ่า  ทั้งสองต่างก็ไม่รู้ถ่องแท้  อาตมันไม่ฆ่าและหาใช่ผู้ถูกฆ่า

            อาตมัน ซึ่งรู้อยู่ไม่ได้เกิดมา  ไม่ตายไป  ไม่เกิดขึ้นมาจากสิ่งใด   และไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาจากมัน  มันเป็นสิ่งที่ไร้การเกิด  เที่ยงแท้  เป็นมานานแล้ว   เมื่อร่างกายถูกฆ่า   มันก็หาเป็นผู้ถูกฆ่าด้วยไม่

           บุรุษ  (อาตมัน) ผู้ยังคงตื่นอยู่  ในชนทั้งหลายผู้หลับแล้ว  และเนรมิตความอยากนานาหลายหลาก  สิ่งนั้นแท้เทียว  คือผู้บริสุทธิ์  สิ่งนั้นแล  คือพรหมัน  สิ่งนั้น      แท้เทียว  ที่เรียกกันว่า    สิ่งอมฤตะ   โลกทั้งปวงอยู่ภายใต้สิ่งนั้นแล   และไม่มีใครล่วงพ้นมันไปได้  แท้จริงนี้ (อาตมัน)คือนั้น (พรหมัน)

              เมื่อไฟได้ปรากฏเข้ามาในโลกแล้วนั้น   ย่อมเปลี่ยนรูปไปเป็นต่าง ๆ  ตามแต่ว่าไฟนั้นจะไหม้สิ่งใด   ทำนองเดียวกัน   อาตมันสิงสถิตอยู่ในสิ่งที่เกิดมีแล้วทั้งปวง   ย่อมปรากฏเป็นรูปต่าง ๆ  ตามแต่สิ่งที่มันเข้าไปอยู่นั้นมีรูปร่างเป็นอย่างไร  และมันก็อยู่พ้นจากสิ่งเหล่านี้ด้วย

               ดังนั้น  การจะเข้าถึงสวภาวะอาตมันได้นั้น  ในกฐะอุปนิษัทได้แสดงให้เราได้เห็นว่ามีอยู่  ๒  วิธี  กล่าวคือ 

              วิธีที่  ๑  เราต้องทำลายอวิทยาที่มีอยู่ในตัวเราให้ได้เสีย  อาตมันในตัวเราก็จะบริสุทธิ์ 

              วิธีที่  ๒  เมื่ออาตมันบริสุทธิ์แล้ว  เราก็ต้องแสดงให้อาตมันได้เห็นในสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับอาตมัน  เมื่ออาตมันพอใจแล้วก็จะประจักษ์ชัดแจ้งแก่เรา   

             ดังนั้น  เราก็สามารถที่จะเข้าถึงอาตมัน และบรรลุโมกษะสมตามความปรารถนาได้

 

บรรณานุกรม

S. Śaravānanda, Kathopanisad  (10th ed. Madras : Bharati Vijayam Press, 1960)
 
 


หมายเลขบันทึก: 500752เขียนเมื่อ 31 สิงหาคม 2012 17:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 ตุลาคม 2012 22:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ขอบคุณพี่เปิ้ลกับดอกไม้นะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท