นกกับกระจกใส


   หลังจากซื้ออาหารสำรองไว้มื้อเที่ยง ผมแวะเข้าไปที่สำนักงานก่อนขึ้นชั้นสาม ระหว่างที่เดินออกจากสำนักงาน เห็นนกเอี้ยงสองตัว กำลังพยายามออกจากห้องโถงใหญ่ใต้อาคาร เดิมทีนั้นโล่งเป็นที่นั่ง ลมโปร่งสบาย โดยเฉพาะยามค่ำคืน แต่คงต้องทนกับยุงริ้นหนักหนา น่าจะด้วยผลของน้ำท่วม จึงได้งบประมาณมาสร้าง (ใหม่) เป็นห้องกระจกใส อย่าว่าแต่นกเลย แม้แต่คนก็อาจชนได้ เพราะมันใส แต่ได้มีการแก้ไขแล้วโดยติดสติกเกอร์ฝ้าฟางแถบล่างประมาณครึ่งตัว อย่างไรก็ตาม นกอาจมองไม่เห็นวัตถุกั้นใสนี้ได้ จึงพยายามบินออกทั้งที่มีผนังใสกั้น

  เห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ สิ่งที่น่าสังเกตคือ หากเป็นสมัยเด็ก ต้องเสร็จผมแน่ๆ เพราะชีวิตเด็กๆคือหาปลา ปู กุ้ง หอย ดักนก ฯลฯ มันเป็นความเปลี่ยนแปลง เพราะวันนี้กลับมีจิตคิดว่า จะไปช่วยนกให้ออกจากห้องกระจกนี้ คนเรานั้น กาลเวลาผ่านไป สิ่งต่างๆที่เข้ามาให้เรารับรู้ ทำให้ความคิดของเราเปลี่ยน เมื่อความคิดเปลี่ยน พฤติกรรมภายนอกก็เปลี่ยน ซึ่งไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่เรายอมรับว่าดีเท่านั้น แน่นอนว่า หากเราถูกกระทำ เช่น การทำร้าย การหลอกหลวง เราก็จะเปลี่ยนจากความไว้ใจกลายเป็นความไม่ไว้ใจทันทีเช่นกัน สิ่งนี้ถูกฝังในจิตเพราะการย้ำซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า 

   ผมเดินเข้าไปหานกเอี้ยงตัวแรก ธรรมชาติของนกคือกลัวคน การกลัวคนเพราะเคยโดนกระทำจากคน แตกต่างจากนกบางตัวที่คุ้นเคยกับคน เพราะคนไม่เคยทำร้ายเขา เมื่อเห็นผมเดินมาอย่างนั้น เจ้านกก็รีบกระโดดบินหนีเพื่อออกไปทางผนังใสด้านอื่น และชนตุ๊บใหญ่ หล่นมึนอยู่กับที่ ผมรีบวิ่งไปจับ มันก็กระโดดบินหนี แล้วไปชนกับผนังใสอีกข้างหนึ่ง คราวนี้ยิ่งมึน แล้วผมก็จับมันได้ ระหว่างนั้น ผมก็คิดในใจว่า แล้วนายจะเข้ามาทำไมในห้องกระจกนี้ ทั้งร้อนและอบอ้าว เสียงหนึ่งสอดแทรกในใจว่า ถ้าฉันรู้ว่าเป็นอย่างนี้ฉันจะเข้ามาทำไม 

   ใช่...กับประโยคนี้ "ถ้าฉันรู้ว่าเป็นอย่างนี้ฉันจะเข้ามาทำไม" แวบหนึ่งมันเชื่อมโยงไปสู่ความคิดว่า ถ้าฉันรู้ว่าเกิดมาแล้วเป็นอย่างนี้ ฉันจะเกิดมาทำไม ถ้าฉันรู้ว่าฉันต้องพบเจอเหตุการณ์ฺแบบนี้ ฉันจะไม่มา ถ้าฉันรู้ว่าฉันจะเจอพฤติกรรมสังคมแบบนี้ ฉันจะไม่เข้ามาในสังคมนี้ ฯลฯ คำว่า "ไม่รู้" นี้ เป็นสิ่งสำคัญทีเดียว ดังนั้น ทำอย่างไรเราจึงจะรู้ เช่น ทำอย่างไรทางแห่งการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เป็นต้น 

   แล้วผมก็ช่วยนกสองตัวออกจากห้องกระจกใหญ่นี้ได้ ผมเดินออกไปนอกห้องกระจกใหญ่ แล้วโยนเจ้านกสองตัวขึ้นฟ้า มันรีบบินขึ้นสูงด้วยความน่าจะดีใจที่รอดชีวิตมาได้ เพราะชนกับผนังใสหลายโป๊ก จนมึนยืนกับที่ไม่ไหว โซซัดโซเซ หนีก็อยากหนี แต่กำลังมีแค่นั้น

  ผมเคยไปร้านตัดผมที่ควนลัง หาดใหญ่ ซอยโวค ช่างตัดผมเลี้ยงนกเอี้ยงไว้สองตัว เจ้าสองตัวนี้คุ้นเคยกับคนมาก พูดได้ด้วย แต่ไม่รู้ว่ามันรู้อรรถของภาษาหรือไม่ว่าที่พูดหมายถึงอะไร อย่างไรก็ตาม หากเราสังเกต เราจะพบว่าสัตว์บางตัวเมื่อเราไล่เขา หรือทำหน้าตาโกรธ เขาจะรู้ว่าเราไล่และเราโกรธ ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่สัตว์จะรู้อรรถของภาษา

  นกเอี้ยงสองตัวในห้องกระจกอาจไม่รู้ว่า ห้องนี้เขาทำไว้ทำไม จึงอยากเข้ามาดู ผมคิดว่า เขาคงหลาบแล้ว คงไม่เข้ามาอีก อย่างไรก็ตาม เมื่อนกได้ออกจากห้องกระจกแล้ว ทำให้ผมคิดว่า ห้องกระจกก็เหมือนกรงขัง นกอยากออกจากกรงขัง ชีวิตเราและคนทุกคนดูเหมือนจะถูกคุมขังอยู่กัน กรงที่สำคัญคือ "กรงแห่งความคิดและความเชื่อ" ...

หมายเลขบันทึก: 500358เขียนเมื่อ 28 สิงหาคม 2012 08:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 ตุลาคม 2015 10:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ผมเคยชนกระจกใส...เพียงแค่เดิน...ทั้งเจ็บทั้งอาย อย่างหลังจะแรงกว่า...อายครับ นี่เพียงเดิน แต่นกบิน บินเพราะกลัว พลังนกจะเพียงไหน บางตัว ถึงตาย ..เขาอาจตกใจ..อยากออกจาก กรงขัง..เหมือนคนอยากออกจากกรงความคิด กรงความเชื่อ...ข้อคิดดี...สวัสดีครับ

สวัสดีครับ แว่นธรรมทอง - ถ้าเราเปลี่ยนความอายเป็นการไม่รับรู้และการดีใจน่าจะได้นะครับ :-) - พูดแล้วขำๆ ยังจำได้เลย สมัยสอนที่ศรียาภัย เคยเดินชนเสาไฟฟ้าเพราะหันหน้าไปคุยกับนักเรียนที่ขับรถผ่านมา และผมก็เดินเร็วด้วย แต่ละคนสองข้างทางหัวเราะกันใหญ่ ผมก็เปลี่ยนจากความ "อายจัง" เป็น "ดีจัง" เพราะร่างกายของเราทำให้คนรอบข้างหัวเราะร่าเริงได้

พวกเราก็เหมือนนกสองตัวนี้ ที่หลงเข้ามาในห้องกระจกวงจรอุบาทว์นี้ และไม่รู้จะออกไปได้หรือเปล่าค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท