ก. จุดแข็งหรือข้อดี ของการศึกษาครั้งนี้ (เช่น ประเด็นด้านการนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่นๆ, ระเบียบวิธีการศึกษา, ความสอดคล้องกับสถานการณ์ด้านการเงินปัจจุบัน ฯลฯ)
รายงานการศึกษาต้นทุนของ CUP ภูกระดึง มีจุดแข็งในประเด็นต่อไปนี้
- CUP ภูกระดึง เป็นเครือข่ายบริการสุขภาพระดับอำเภอ ที่มีพื้นฐานของการทำงานในลักษณะการบริหารจัดการเครือข่ายบริการปฐมภูมิที่ดีมาก่อน และมีความเชื่อมโยงการทำงานทั้งใน รพ.ชุมชน, สสอ. และสถานีอนามัยที่ดี ทำให้เห็นความเป็นเอกภาพ ของการพัฒนางานด้านบริการปฐมภูมิ (Primary care) สามารถแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของงานปฐมภูมิที่ชัดเจน เช่นการจัดให้มี “หมอประจำครอบครัว” หรือ Family manager และ มีทีมที่ปรึกษา เป็นทีมสหสาขาวิชาชีพจากโรงพยาบาลที่สามารถให้คำแนะนำการทำงานในหน่วยบริการปฐมภูมิได้
- มีจุดเด่นในการบริหารจัดการเครือข่าย ในเรื่องการจัดการทรัพยากรบุคคลเช่น มีการกระจายบุคลากรจาก โรงพยาบาลลงสู่ สถานีอนามัย ถึง 20 คน ช่วยให้การดูแลประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบทำได้คลอบคลุม มากขึ้น และมีการเปิดให้บริการประชาชนอย่างเต็มที่ เพิ่มการเข้าถึงบริการแก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล และลดความแออัดในโรงพยาบาลชุมชนลงได้
- มีกระบวนการพัฒนาคุณภาพบริการปฐมภูมิที่เห็นได้ชัด โดยนำแนวคิดการมุ่งเน้นลูกค้า (Customer focus) มาใช้ในการจัดบริการที่สามารถทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้ง่าย (Accessibility) ในลักษณะ ใกล้บ้าน ใกล้ใจ และ มีบริการดูแลต่อเนื่องในชุมชน (Continuity of care) ผ่านกิจกรรมการเยี่ยมบ้าน และงานกายภาพบำบัดชุมชน รวมไปถึงระบบปรึกษาและส่งต่อที่ดีภายในเครือข่าย (Coordinate care)
- การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาวิเคราะห์ต้นทุนของเครือช่ายบริการปฐมภูมิ(CUP) ลำดับแรกๆของประเทศ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการศึกษาในบริบทโรงพยาบาลชุมชน และ CUP อื่นๆได้ต่อไปได้
- ระเบียบวิธีการศึกษา เป็นการศึกษาข้อมูลย้อนหลัง (retrospective study) ในปี งบประมาณ 2551 ซึ่งเป็นปีที่ 7 หลัง การใช้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (universal coverage) ในประเทศไทย มีวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีขั้นตอนชัดเจน โดย ทำการเก็บข้อมูล ค่าใช้จ่ายของผู้ที่ขึ้นทะเบียน UC กับ CUP ภูกระดึง แต่ไปใช้บริการนอกเขต รวมทั้งการส่งต่อนอกเขต ด้วย ทำให้การเก็บข้อมูลคลอบคลุมมากขึ้น
- ผลการศึกษา สามารถนำไปใช้ประโยชน์ ในการประเมินผลการดำเนินงานของเครือข่ายบริการปฐมภูมิ (CUP) โดยมีการวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบบัญชีของสถานบริการ ทั้งจาก รพช.และ สอ.ทุกแห่ง ร่วมกับ ข้อมูลสถิติอื่นของสถานบริการทุกแห่ง เพื่อให้ทราบต้นทุนค่าใช้จ่าย ซึ่งสามารถจำแนกให้เห็นสัดส่วนรายได้ สัดส่วนค่าใช้จ่าย อัตราการคืนทุนและอื่นๆ ซึ่งผู้บริหารเครือข่าย สามารถนำไปใช้ในการประเมินผลการบริหารจัดการและผลสัมฤทธิ์ของการให้บริการในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพื่อใช้ ในการวางแผนการดำเนินงานต่อไป
ข้อดี หรือ ประโยชน์ที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ สรุปได้ว่า
๑. ทำให้มีข้อมูลต้นทุน ค่าใช้จ่าย ที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมด และสามารถนำเสนอค่าใช้จ่ายตามหมวดต่างๆที่สำคัญ มีการแยกให้เห็นตามผลลัพธ์หรือรูปแบบการจัดบริการ(OP, IP, PP) และมิติต่างๆได้อย่างชัดเจน
๒. ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพ จากการเปรียบเทียบต้นทุนกับผลลัพธ์ที่จะได้
๓. สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการคำนวณอัตราคืนทุน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการวางนโยบายว่า กิจกรรมใด ควรมีอัตราคืนทุนเท่าไรจึงจะเหมาะสม
๔. การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาในระดับ CUP ที่แตกต่างจากการศึกษาอื่น ที่มักจะทำเฉพาะการศึกษาต้นทุน ในโรงพยาบาล หรือหน่วยบริการเท่านั้น
๕. การใช้ประโยชน์ในการวางแผน สถานบริการที่ไม่มีการศึกษาต้นทุนหรือระบบบัญชี ต้นทุน จะสามารถวางแผนงบประมาณได้เพียงคร่าวๆ โดยคาดการณ์จากข้อมูลค่าใช้จ่ายรวมในอดีต ซึ่งมักคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง แต่สถานบริการหรือเครือข่ายบริการระดับอำเภอ (CUP) ที่มีการศึกษาต้นทุนหรือ ระบบบัญชีต้นทุนจะคาดการณ์สถานการณ์การเงินการคลังได้แม่นยำกว่า เนื่องจาก สถานบริการสามารถประมาณการต้นทุนต่อหน่วยและจำนวนหน่วยที่จะผลิตในปีงบประมาณถัดไป
๖. ทำให้ทราบถึงต้นทุนการให้บริการของหน่วยต้นทุน(Unit cost) รวมถึงทำให้ทราบสถานการณ์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ของเครือข่ายบริการสุขภาพระดับอำเภอ (CUP) และเมื่อมีการวิเคราะห์ต่อเนื่องจะเป็นเครื่องมือช่วยให้เครือข่ายบริการสุขภาพระดับอำเภอ (CUP) ปรับระบบการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อีกทั้งยังเป็นฐานข้อมูลในการประเมินผลด้านเศรษฐศาสตร์สุขภาพอื่นๆ ต่อไปในอนาคต
ไม่มีความเห็น