จาก http://www.nature-dhrama.com
ปัญหา และอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนมาจากสภาพการดำเนินชีวิตตามระบบ "วัตถุนิยม"
หากเราเปลี่ยนแนวคิดใหม่ที่ทรงด้วยคุณค่ายิ่ง โดยการดำเนินชีวิตตามระบบ "พอเพียงนิยม"
ปัญหาต่าง ๆ จักลดลง หรือแทบไม่มี
ด้วยความปรารถนาดีจาก "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก"
"ผังล้ม "ระบบวัตถุนิยม" ฟังดูแล้วน่ากลัว น่าตกใจ ผู้ที่เข้าข่ายที่ว่าน่ากลัว น่าตกใจคือบรรดาพวกนายทุน บรรดาพวกหัววัตถุนิยมทั้งหลาย
จริง ๆ เมื่อได้ทราบรายละเอียดกลายเป็นเรื่องไม่น่าตกใจอะไรเลย
ที่ว่าพวกนายทุน หรือกลุ่มวัตถุนิยมตกใจกลัวเพราะว่าสังคมปัจจุบันล้วนหลงใหลอยู่ในเรื่องวัตถุและกำลังมุ่งมั่นเรื่องวัตถุนิยมกันอย่างขันแข็ง
อย่างไม่ลืมหูลืมตา กลายเป็นค่านิยมในสังคม คือ ปัจจุบันเป็นสังคมวัตถุนิยม ขอเรียกว่า "ระบบวัตถุนิยม"
หากเราศึกษาแก่นแท้ของหลักพุทธปรัชญา จะพบว่าเรื่องวัตถุนิยมเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกันสุดขั้วจึงพูดได้เต็มปากว่าหลักพุทธปรัชญาคือพอเพียง
คือความพอดี ซึ่งขอเรียกว่า "ระบบพอเพียงนิยม"
สัจธรรมที่พระองค์ทรง ค้นพบ คือเรื่องของ "ตัวธรรมชาติ" ธรรมชาติก็คือ "ธรรมะ" นั่นเอง ซึ่งเกี่ยวข้องใน 4 ประการดังนี้
1. ธรรมชาติ
2. กฎของธรรมชาติ
3. หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ
4. ผลจากหน้าที่
ขอนำคำอธิบายของท่านพระพุทธทาส ประกอบ (ในเรื่อง 4 ประการ)
1. ธรรมะ คือตัวธรรมชาติที่ปรากฏ
2. ธรรมะ คือกฎของธรรมชาติ ที่ควบคุมธรรมชาติเหล่านั้นอยู่
3. ธรรมะ คือการปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
4. ธรรมะ คือผลที่จะได้รับจากการปฏิบัตินั้น ๆ
เมื่อรวม 4 ประการนี้เข้าด้วยแล้ว มันจะไม่พ้นในเรื่องของ "อริยสัจ 4" ซึ่งต้องรู้จักตัวทุกข์ รู้เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ รู้สิ่งที่ตรงข้ามกับการเกิดทุกข์ รู้วิธีปฏิบัติให้ได้สิ่งนั้นมา นี้เรียกว่า "ธรรมที่จะช่วยดับทุกข์โลก" นี่คือหัวใจของหลัก "ศาสนาสากล" จากตรงนี้เองที่ธรรมะบัญญัติไว้ถึง 84,000 ธรรมขันธ์
ธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ถึง840,00ธรรมขันธ์นั้นคือการรักษาการฟื้นฟูจิตใจให้อิ่มด้วยคุณธรรมเพื่อดับทุกข์และเข้าถึงความสุขที่แท้จริง เมื่อมนุษย์ยึดหลักการอยู่ร่วมด้วยธรรมะยึดความสุขแท้จริงคือความสุขด้านจิตวิญญาณอย่างนี้ก็ไม่มีวันที่จะเบียดเบียนกันเองหรือไปเบียดเบียนธรรมชาติได้เลย ทุกคนคงเห็นประจักษ์แล้วว่าปัจจุบันมนุษย์มีแต่ความเดือนร้อนวุ่นวายไปทั้งโลก ซึ่งนั่นคือความทุกข์ เราจึงต้องดับทุกข์ด้วยมูลเหตุแท้จริง อย่างที่พระพุทธเจ้า "ทรงค้นพบแล้ว" นั่นเอง
ผังล้มระบบวัตถุนิยมจึงไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว เพียงเพื่อเปิดเผยหลักสัจธรรมในการอยู่ร่วมของมนุษยชาติตามแนวของ "พุทธศาสนา" เป็นทางเลือกหนึ่ง
ในการดำรงชีพ และเห็นว่าทางนี้เองที่เป็นแนวทางที่มนุษยชาติอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติอย่างสันติสุข และยั่งยืน
เพื่อความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง การปกครองบ้านเมื่องควรเปิดสิทธิเสรีภาพให้ประชาชนในชาติมีโอกาสเลือกแนวทางวิถีการ
ดำรงชีวิตตามความต้องการอย่างอิสระเสรี
ตามความเป็นจริงเรื่องการปกครองของไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน ถูกบังคับให้เดินทางเดียวคือ ระบบประชาธิปไตยแบบทุนนิยม
ซึ่งผมเอง ชอบเรียกว่า "ระบบวัตถุนิยม" ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลเห็นความสำคัญของการอยู่แบบเศรษฐกิจพอเพียง และได้ประกาศเป็นวาระ
แห่งชาติ แต่การปฏิบัติจริง ๆ ยังไม่ได้เป็นรูปธรรมมากนัก ด้วยเหตุนี้จึงควรมีกฎหมายบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การดำเนินการ
เรื่องนี้มีความถูกต้อง สะดวกชัดเจนยิ่งขึ้น และเป็นทางเลือกของประชาชนในชาติอย่างอิสระเสรีอีกทางหนึ่ง
รัฐบาลต้องบริหารประเทศแบบคู่ขนาน คือ ซีก "ระบบวัตถุนิยม" และซีก "พอเพียงนิยม" เมื่อมีกฎหมายในรัฐธรรมนูญ การบริหาร
ของรัฐจึงต้องมีความทัดเทียมกัน คือให้การสนับสนุนทั้งสองฝ่าย ทำอย่างจริงจังทั้งสองฝ่าย สรุปว่ามุ่งพัฒนาให้เต็มรูปแบบทั้ง 2 ฝ่าย ประชา
ชนจะเลือกอยู่ในระบบใดเป็นสิทธิของประชาชน เมื่อนานปีเข้าประชาชนเป็นผู้ตัดสินเลือกฝ่ายได้เด่นชัดขึ้น หรือจะควบคู่ไปทั้งสองอย่างก็
ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ทั้งนี้ให้เป็นทางเลือก เพื่อเป็นบทพิสูจน์ระบบการดำรงชีวิตไปในตัว ไม่ต้องให้ประชาชนกังขาว่าระบบใดดีไม่ดี
อย่างไร นั่นเป็นการค้นหาการดำรงชีพที่ให้เกิดสันติสุขอย่างแท้จริง และยั่งยืนช่องทางหนึ่ง
แนวทางนี้คือ "ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง" น่าจะมีกฎหมายที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญไว้ 1 มาตรา ที่มีใจความดังนี้
" ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพการเลือกแนวทางการดำรงชีพ ในรูปแบบ ประชาธิปไตยระบบเศรษฐกิจวัตถุนิยม หรือ ประชาธิปไตยระบบ
เศรษฐกิจพอเพียงนิยม โดยรัฐบาลต้องมีนโยบายส่งเสริมพัฒนาทั้งสองระบบเศรษฐกิจนี้อย่างเสมอภาคทัดเทียมกัน "
ด้วยเหตุนี้ "ผังล้มระบบวัตถุนิยม" ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไร และขอให้พี่น้องชาวไทย ซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ขอช่วยไตร่ตรอง ช่วย
คิดช่วยประสานต่อเพื่อการอยู่ร่วมของคนในชาติมีความสันติสุข และจะได้เป็นแบบอย่างของชาวโลกโดยทั่วกัน
ท่านสามารถติดตามแนวคิดเรื่องนี้ติดต่อเพิ่มเติมไท่
คลิกสู่เว็บไซต์ทันที(ด้านล่าง)
คลิกหัวเรื่อง "ธรรมชาติธรรมประชานิยม"
จากนั้นเลือกเรื่องติดตามได้ตลอดครับ
เมื่อตอนที่อยู่ ม.ศ.1 เกือบสี่สิบปีมาแล้ว อาจารย์ที่สอนเศรษฐศาสตร์พูดถึงเรื่องอรรถประโยชน์สูงสุด (Maximize Utility) หรือความคุ้มค่ากับเงินที่เราจ่ายนั่นแหละครับ ผมจำไม่ได้แล้วว่าแกพูดว่าอะไรแต่มันมีความหมายทำนองที่ว่าจ่ายเพื่อให้ได้มาในสิ่งไม่คุ้มค่านั้นไม่ฉลาดอะไรทำนองนั้น แต่วิธีการพูดของท่านทำให้ผมจำและปฏิบัติมาจนทุกวันนี้
ทุนนิยมไม่มีอะไรน่ากลัว ยกเว้นเราไปกลัวตามที่มีคนอยากให้เรากลัว การเรียนรู้ รู้ทัน และรู้จักใช้วิจารณญาณโดยตัวของเรานี่แหละครับที่จะทำให้เราอยู่กับทุนนิยนได้อย่างไม่มีปัญหา
สวัสดีครับ ..เป็นพระคุณยิ่งสำหรับกำลังใจ