กลับมาเขียนบล็อกอีกครั้งหนึ่งนะครับ...ช่วงที่หายไป..เพราะผมกำลังยุ่งๆกับการตรวจข้อสอบนิสิตและทำเกรดอยุ่.......ผมจะขอเล่าเรื่องเลยละกันนะครับ
เมื่อประมาณสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้รับจ่ายคนไข้เป็นหญิงอายุประมาณ 30 ปี ผิวขาว มีการศึกษา และฐานะดีพอสมควร มาพบผมเพื่อขอคำปรึกษาเรื่องการฟอกสีฟันขาว...มาพบเธอก้ไม่พูดพรำทำเพลง ยิงคำถามมาเป็นชุดเลยครับ แต่ประเด็นคำถามของเธอน่าสนใจทีเดียวครับ เช่นเธอถามว่า "การฟอกสีฟัน....คืออะไร..?"" แล้วมันอันตรายไม้คะหมอ.." " ถ้าฟอกแล้วมันจะอยู่ได้นานแค่ไหนคะหมอ ?"" แล้วค่าใช้จ่ายมันแพงมากไม้คะหมอ"โห...เธอยิงคำถามมาจนผมเกือบฟังไม่ทัน...
หลังจากสงบจิตใจพักหนึ่ง ผมจึงเริ่มอธิบายให้เธอฟังทีละคำถามได้ความว่า
การฟอกสีฟัน นั้นก็คือการทำให้ฟันขาวขึ้น โดยใช้สารที่เป็นกรด เช่น Carbamide Peroxide หรือ Hydrogen Peroxide ที่มีความเข้มข้น ในระดับที่พอดี เคลือบไปบริเวณผิวฟัน ตัวยาจะมีการทำปฏิกิริยา เกิดเป็น Oxygen ไปย่อยสลายสาร Organic ในผิวฟัน ทำให้สีขาวขึ้น ซึ่งในปัจจุบันก็มีหลายๆเทคนิกในการทำ ซึ่งโดยทั่วๆไปจะแบ่งออกเป็น 3 แบบนะครับ....
1..แบบที่ให้
ทพ.ฟอกในคลีนิก ที่เค้าเรียกกันเท่ๆว่า "in office" โดยใช้ hydrogen peroxide หรือ
carbamide peroxide ความเข้มข้นสูง 30-35%
โดยจะฟอกสีฟันโดยใช้ความร้อนหรือแสงช่วย จะเห็นผลเร็ว
ไม่ต้องอมถาดฟอกสีฟันที่บ้าน ให้เกิดความรำคาญ
แต่อาจต้องเสียเวลามาที่คลีนิก1-6 ครั้ง
แสงอาจเป็นแสงที่ฉายวัสดุอุดฟัน แสงโคม ฯลฯ
ส่วนแสงเลเซอร์ ในปัจจุบันนี้ที่ผมรู้มาก้มีหลายคลินิกเริ่มนำมาใช้แล้ว ซึ่งก็มีข้อดีที่รวดเร็ว แต่มันก็แลกมาด้วยราคาที่ค่อนข้างแพงทีเดียว
2.ให้ ทพ.ทำถาดฟอกสีเฉพาะตัวใส่เจลฟอกสีฟันไปอมเองที่บ้าน วิธีการนี้เรียกว่า" Home Bleaching"เจลมักเป็น carbamide peroxide 10 %
วิธีนี้ทำไม่ยากครับ
อันดับแรกแพทย์จะตรวจฟันของเราก่อนและทำความสะอาดฟันให้สะอาดโดยการขูดหินปูน
แล้วก็จะพิมพ์ฟันของเราขึ้นมา 1 ชุด
เป็นปูนนะครับ...จากนั้นก็จะส่งฟันปูนไปทำถาดฟอกสีฟัน
ลักษณะเหมือนฟันยางใสๆครับ
เวลาใช้เราก็แกะฟันยางใสมาหยอดยาลงไปในร่องฟันยางแต่ละซี่
จากนั้นเราก็ใส่ครอบไปที่ฟัน ใส่ไว้ 6 ชั่วโมงต่อวัน
ส่วนใหญ่ผมจะแนะนำให้ใส่ตอนนอน ตอนแรกจะรู้สึกรำคาญ
แต่เดี๋ยวก็ชินเพราะมันบางมาก ดูแล้วเหมือนไม่ได้ใส่อะไรเลย
มองไม่เห็นด้วย..ไม่ต้องกลัวจะไม่สวยนะครับ ถ้ายาหมดแล้วยังไม่พอใจ
เราก็ซื้อเพิ่มได้
แต่ต้องอยู่ในความควบคุมของทพ.ที่จะปรับระยะเวลาใช้
และเจลหรือยาบางชนิด
สามารถปรับความเข้มข้นได้ ซึ่งควรให้ทพ.เป็นผู้ปรับเช่นกันมิฉะนั้นอาจเกิดอันตราย
กับเนื้อเยื่อในช่องปาก
วิธีนี้โดยส่วนตัวค่อนข้างแนะนำให้ผู้ป่วยใช้
เนื่องจากไม่ค่อยเสี่ยงมากท่าไร และผลระยะยาวค่อนข้างดี
บางครั้งที่ฟอกในคลินิกแล้ว
อาจแนะนำให้คนไข้กลับไปฟอกต่อที่บ้านด้วย
ถ้าฟันสีคล้ำมากๆ ซึ่งต้องพิจารณาเป็นกรณีๆไป
3. ซื้อเองที่ซุปเปอร์มาร์เกต
มาฟอกเอง แต่ค่อนข้างเสี่ยง เพราะ
ถาดฟอกมักขอบไม่พอดีกับฟันของแต่ละคน
ยาอาจเกินมาที่เหงือก กัดเนื้อเยื่อในช่องปากเป็นอันตรายได้
วิธีนี้ผมไม่ค่อยอยากแนะนำครับ
นอกจากนี้ ผมมักพบ
คนไข้ซึ่งมักอยากขาวเร็ว เลยใช้ยาทั้งเยอะและบ่อย
อาจมีอันตรายกับเคลือบฟันได้ ก็เลยต้องขอเตือนไว้ตรงนี้นะครับ
ว่าควรใช้น้ำยาในขนาดที่ทันตแพทย์แนะนำและควรให้ทันตแพทย์เป็นผู้ปรับขนาดยาที่ใช้
อย่าไปปรับเองนะครับ...ไม่งั้นอาจจะเสียวฟันอย่างมากได้
ส่วนการเตรียมตัวก่อนรับการฟอกสีฟันนั้น ผู้ป่วยที่ฟอกสีฟันต้องขูดหินปูนจนเหงือกไม่อักเสบ และต้องอุดฟันให้เรียบร้อยที่รอยผุ เพราะเจลฟอกสีฟันอาจเข้าไปที่รอยผุถึงโพรงประสาทฟันทำให้ปวด-เสียวได้นอกจากนี้รอยสึกด้านคอฟันก้ควรปิดให้หมดก่อนการรับการฟอกสีฟันด้วย
ส่วนคำถามที่ว่าฟอกสีฟันนั้นอันตรายไหม
จะเสียวมากไหม หรือเมื่อไรจะขาวนั้น
ก็ต้องตอบว่าถ้าทำตามที่ทันตแพทย์แนะนำอย่างเคร่งขรัด
ก็ไม่น่าจะอันตรายแต่อย่างใด
บางครั้งอาจมีอาการเสียวขณะฟอกสีฟัน แต่เมื่อหยุดฟอก
อาการจะค่อยๆดีขึ้นใน 2-3 วัน ส่วนจะขาวได้เร็วแค่ไหนนั้น
ก็ขึ้นกับว่าสีฟันเดิมนั้นคล้ำแค่ไหน
ซึ่งการฟอกสีฟันในแต่ละบุคคล จะมีผลการตอบสนองที่แตกต่างกัน
เนื่องจาก
1 .ตำแหน่งสี
ถ้าสีอยู่ในเนื้อฟันจะฟอกยากใช้เวลานานกว่า
2 .ความเข้มและชนิดของสี
สีที่อ่อนจะฟอกง่ายและเร็ว สีที่ตอบสนองต่อการฟอกได้ดี จากมากไปน้อย
คือ
เหลือง เทาอ่อน น้ำตาลอ่อน เหลืองเข้ม น้ำตาลเข้ม เทาดำ
อย่างไรก็ดี .....สีที่ฟอกอาจกลับมาคล้ำใหม่ใน3-8
ปีขึ้นกับสีของแต่ละบุคคล
แต่ถ้ากลับมาฟอกใหม่จะขาวเร็วกว่าครั้งแรกนะครับ
อย่างไรก็ดีถ้าอุดฟันไปก่อนการฟอกสีฟัน
สีวัสดุอุดที่มีสีเหมือนฟันเดิมจะไม่ซีดไปตามการฟอก
เมื่อฟอกจนขาวแล้วสีของฟันกับวัสดุอุดอาจไม่เหมือนกันได้
ซึ่งในกรณีนี้อาจต้องอุดใหม่เพื่อให้สีใกล้เคียงกัน
ส่วนเรื่องราคานั้น
ถ้าฟอกทั้งปากตกประมาณ 6000-10000
ขึ้นกับวิธีการของทันตแพทย์ และเรตของแต่ละคลินิกครับ
ยังไงถ้าใครสนใจ....ก็ลองไปพบทันตแพทย์เพื่อปรึกษาในรายละเอียดอีกทีนะครับ....
หมอบอล,5 ต.ค.48