แผ่เมตตาวันละหลายๆ รอบ นั้นเป็นอุบายอย่างหนึ่งที่ช่วยลดความพยาบาทที่มีอยู่ในตนลง เวลาเราคิดโกรธแค้นใครๆ แผ่เมตตาให้เขาแทนเถอะครับ ผลของจิตใจที่เราแผ่เมตตาไปให้เขามันจะถึงเขาในที่สุด แล้วความรู้สึกร้อนในใจจะค่อยๆบรรเทาลง
ผมได้มีโอกาสพบกับอาจารย์หมอ อมรา มลิลา (ทุกครั้งอาจารย์จะไม่ลืมที่จะหันมาถามผมว่า “วันนี้มีอะไรจะคุย หรือถามมั้ยคะ ?” อาจารย์ท่านรู้ว่าผมเป็นคนที่มีคำถามเยอะมากในใจ แต่ผมไม่ค่อยจะได้นั่งถามปัญหามากนักเพราะเราก็เกรงใจท่านที่ต้องมานั่งตอบคำถามผม แทนที่ผมจะหาคำตอบนั้นด้วยตัวเองก่อน
ในบทสนทนาครั้งหนึ่ง (จำไม่ได้แล้วว่าครั้งไหน หุ หุ โรคเก่าผม :)) เป็นอีกมุมมองหนึ่งขอการแผ่เมตตา
ผมบ่นไปว่า “ช่วงนี้ผม แผ่เมตตาเพื่อระงับความคิดที่จะไปจองเวร จองกรรม กับคนคนหนึ่ง มากเลยครับ วันหนึ่งไม่รู้กี่ครั้ง พอความคิดชั่วร้ายเราแล่นเข้ามา.....ทำไมเขาถึงทำอย่างนี้? ทำไมเขาเป็นคนอย่างงี้? ในใจเริ่มต่อว่าเขาไปต่างๆนานา.......หยุด!!!!!!! (หยุดให้ทันความคิดไม่ดีนี้ให้ทัน บางครั้ง (รู้สึกว่าช่วงนี้จะบ่อยครั้ง) ผมก็หลุดเหมือนกัน) แล้วแผ่เมตตาให้เขาแทน......”
คุณแม่ผม (ไม่รู้ว่ามาจากไหน) ก็ถามขึ้นมาว่า “ แล้วผลบุญที่เราแผ่เมตตาเราจะไปถึงเขาหรือ?”
อาจารย์ก็ตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ (ตามแบบฉบับของอาจารย์นั่นแหละ) “ ถึงสิคะ จิตของคนเรามัน เร็วมากเลยนะคะ เพียงแค่นึกจิตของเราก็ไปถึง เขาคนนั้นที่อยู่ต่างจังหวัด หรือไกลถึงต่างประเทศได้แล้ว ”....
” .....การแผ่เมตตาให้กับใคร ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นใครก็ตาม ผลบุญที่เราส่งไปให้นั้นถึงเขาแน่นอน ส่งไปมากก็ถึงมาก มองที่ตัวเรา จิตใจเราก็เป็นสุขที่ได้ทำบุญ ละความพยาบาทลง หรือถ้ามองที่ตัวเขา เขาจะรับรู้ถึงผลการแผ่เมตตาของเรานั่น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เปรียบเสมือนกับเราส่งบุญ ส่งกุศลให้เขาแล้ว ให้เต็มโอ่งน้ำรออยู่ปากถ้ำ ถ้าวันหนึ่งเขาออกมาจากถ้ำ เขาก็จะได้รับผลบุญที่รออยู่อย่างแน่นอน ผลบุญที่เราให้ไปไม่หายไปไหน .......”
“ สะสมเป็นโอ่งๆรออยู่หน้าปากถ้ำ ” ประโยคนี้ผมคิดเองในใจ ฮิๆ
“ ....ที่สำคัญเราได้รักษาใจเราให้ดีขึ้น เมื่อไหร่ก็ตามที่จิตของเรามีพลังขึ้น หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่เขารับรู้ถึงผลบุญที่เราส่งไปได้ จิตใจของเขาก็จะเป็นสุข เขาก็จะเข้าใจว่าเราให้อะไรไป เขาก็จะเข้าใจว่าจิตใจเราเป็นอย่างไร .........” อาจารย์ทิ้งท้าย (จำคำอาจารย์พูดจริงๆ มาถ่ายทอดได้ไม่หมดนะครับ ต้องขออภัยครับ)
ผมชอบพูดกับตัวเอง (ตามคำสอนของครูบาอาจารย์ ) ว่า ทุกเรื่องมันเป็น “ อนิจจัง “ มัน “ไม่เทียง” สิ่งที่เราสรุปว่าวันนี้ คนคนนี้เป็นอย่างงี้ นั้นมันต้องพูดต่อว่า มัน “ไม่เทียง” มัน “ไม่แน่” พรุ่งนี้เขาอาจอยากออกมาจากถ้ำ แล้วเห็นสัจธรรมก็เป็นได้
แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องของ “กรรม” เราทุกคนมี “กรรม” ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทแผ่เมตตาว่า
“ สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย “ ทุกคำเมื่อศึกษาดูดีๆแล้วมีความหมายลึกซึ้งมากๆครับ
ประกอบแต่ ”กรรมดี” ในตอนนี้ เมื่อทำ “เหตุ” ในปัจจุบันให้ดี “ผล” ในอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่สำคัญ ไม่ต้องไปคิดถึง (คำสอน พระอาจารย์ คเวสโก)
ปล. ตอนแรกผมคิดว่าผมจะประชดสังคมคนไทย ในความเห็นสุดท้ายของผม ว่า อาจจะไม่มาเขียนบันทึกใดๆอีก ขออยู่ในกลุ่ม 40 เปอร์เซ็นต์ จะดีกว่า แต่พอมาอ่านบันทึกคุณชลัญทำให้ต้อง มาแสดงความคิดเห็นในฐานะ พ่อ ที่พยายามทำหน้าที่ที่ยังเหลือในชีวิตนี้ให้ดีที่สุด ผมคงต้องตอบแทน คุณพ่อในหลายๆมุมมอง
อ้างถึง:
เลขที่บันทึก: 494101
เลขที่บันทึก: 492938
ในฐานะที่ถูกพาดพิง ขอบอกว่ามาเขียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้มันทำให้เราต่อยอดความคิด ในบางครั้งที่ชลัญตัดสินใจอะไรไม่ได้ นั้น ความเห็นของเพื่อนๆใน GTK ช่วยได้มากค่ะ ถือว่าเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน ขอบคุณนะค่ะสำหรับความเห็นดีๆที่ให้ตลอด
ผมเป็นคนที่มีกัลยาณมิตรไม่เยอะ (แต่ที่มีผมว่ามีคุณภาพ) คนไหนพอพาดพิงได้ก็ขอพาดพิงไปก่อนนะครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
แผ่เมตตา ==> นำมาซึ่ง "ความสุขใจ" นะคะ
ขอบคุณ สำหรับบทความดีดีนี้ค่ะ
สวัสดีค่ะ
แผ่เมตตาออกไป คนแรกที่ได้คือเราคนแผ่เมตตาค่ะ