คุณอุ้ม เพื่อนสาวชาวกรุงของผม (และแน่นอน เผื่อคุณอยากจะรู้ ผมรู้จักเธอผ่าน facebook ) เธอให้เหตุผลว่า ที่คนเมืองหลวงเลือกจัดการกับความเหงาโดยใช้ facebook บ้าง Line บ้าง หรือ WhatsApp บ้าง ทั้งๆที่คู่สนทนาก็ตอบมั่งไม่ตอบมั่งนั้น ก็เพราะพวกเขารู้สึกมีความสุข รู้สึกสนุก กับการคุยกันผ่านตัวหนังสือ มากกว่าที่จะเจอคู่สนทนาตัวเป็นๆ เพราะว่าพวกเขาอยากจะอ่านตัวหนังสือแล้วจินตนาการ เหมือนกับการฟังเพลงแต่ไม่ได้อยากเจอคนแต่ง อยากอ่านหนังสือแต่ไม่อยากเจอคนเขียน พูดง่ายๆก็คือ อยากให้คู่สนทนาเป็นแบบในอุดมคติของพวกเขามากกว่า เพราะคิดเองว่าคู่สนทนาน่าจะเข้าใจและให้ความสำคัญกับพวกเขา
facebook นั้นเป็นเครื่อข่ายในโลกอินเตอร์เน็ต ที่เชื่อมต่อผู้คนในรูปของตาข่าย(Social Network) ฉันเชื่อมต่อเธอ เธอเชื่อมต่อเขา เขารู้จักอีกคน อีกคนรู้จักอีกคน และอีกคนอาจจะรู้จักฉัน และนำพาให้ฉันเชื่อมต่ออีกคน ไม่มีที่สิ้นสุด อันที่จริงความสัมพันธ์แบบนี้มีอยู่ในโลกใบนี้มาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ มันมีอยู่คู่กับมนุษยชาติมาตั้งแต่มนุษย์รู้จักเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์นั่นแหละ เพียงแต่เราอาจไม่เคยตระหนัก จนกระทั่งใครบางคนทำให้มันชัดเจนขึ้นด้วยระบบการตลาดหลายชั้นหรือ Multilevel Marketing ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต หรือสินค้าในครัวเรือนหลากหลายยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็นแอมเวย์ นูสกิน นูไลฟ์ และ อื่นๆอีกมากมาย ลองคิดดูสิครับ ทำไมจู่ๆถึงได้มีคนแปลกหน้าโทรมาขายประกันให้เรา? หรือมาชวนเราขายแอมเวย์
และความสัมพันธ์ในรูปร่างแหที่ไม่มีวันสิ้นสุดนี้ ก็ชัดเจนมากยิ่งขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่อมาอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ตที่เราสามารถเชื่อมต่อกับใครบางคนที่อีกฟากฝั่งของดาวเคราะห์ดวงนี้ได้ ซึ่งคนรุ่นผมตระหนักได้ผ่าน social network ที่ชื่อว่า hi5 และในที่สุด facebook ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าคุณเป็นคนที่ใช้อินเตอร์เน็ทเป็นประจำ อาจจะสัมผัสได้ถึงความเป็นสังคมแบบร่างแหจาก social network รูปแบบอื่นๆ เช่น webboard, youtube , webblog, netlog, googleplus เป็นต้น
ในขณะที่ Line กับ WhatsApp นั้นเป็น application หรือโปรแกรมลูกเล่นตัวเล็กๆที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือ smartphone ซึ่งเริ่มต้นเชื่อมต่อกันด้วยหมายเลขโทรศัพท์ และแน่นอนว่า Line ได้อาศัยความเป็นกลุ่มหรือเครือข่ายทำให้คนสามารถเชื่อมต่อกันได้โดยไม่ต้องใช้หมายเลขโทรศัพท์ได้ในที่สุด เป็นการสื่อสารในลักษณะของการส่งข้อความที่เป็นกึ่ง realtime คือ ผู้รับจะรับสารได้ทันทีแต่ไม่จำเป็นต้องตอบในทันทีก็ได้
แล้ว facebook, Line, Whatsapp มันทำให้การสนทนาสนุกสนานมากกว่าการสนทนาผ่านตัวเป็นๆอย่างนั้นหรือ? ถ้าพิจารณาจากสิ่งที่คุณอุ้มอธิบายในย่อหน้าแรก มันก็ชัดเจนว่า ปัจจัยสำคัญจริงๆก็คือ การจินตนาการของเราเองนั่นแหละ มันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้แน่ๆ และถ้าจะพูดให้ชัดๆ ผมอยากจะเรียกการจินตนาการนั้นว่า อาการ “คิดไปเอง” น่าจะชัดเจนที่สุด เพราะถ้าเราได้เห็นแค่ตัวหนังสือของกันโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าคนที่นั่งจิ้มแป้นพิมพ์ที่อยู่อีกฝั่งของเครื่องมือสื่อสารกำลังยิ้มหรือกำลังหน้าบึ้ง เราก็คงจะตีความหมายไปในทางเข้าข้างตัวเองกันทั้งนั้นแหละ บางทีเขาแค่พิมพ์มาว่า กินข้าวหรือยัง เราอาจจะตีความไปถึงไหนต่อไหนแล้วว่า อีตานี่กำลังจะจีบฉัน กำลังจะชวนฉันไปดินเนอร์ ...เอ้อเฮอเฮอะ..แบบนี้แหละครับอาการจินตนาการฟุ้งเฟ้อ
ส่วนเครื่องปรุงรสชั้นเลิศ ของการสนทนาแบบนี้ ก็คือ การที่คนพิมพ์มีเวลาคิดนานขึ้นก่อนที่จะส่งสารออกไปไงครับ การที่เรามีเวลาคิดมากขึ้นอีกแม้แค่นาทีเดียว มันทำให้เกิดการขัดเกลาความคิดมากขึ้น และหากมากเกินไป อาจถึงขั้นเกิดการบิดเบือน เพราะในเมื่อใครๆก็ไม่อยากให้ตัวเองดูแย่ในสายตาคู่สนทนาหรอกใช่ไหมครับ
เหตุคือความเหงาในเมืองใหญ่สู่การปลดปล่อยตัวเองให้หลุดพ้นจากความเดียวดายด้วยการใช้สื่อออนไลน์ที่แป็นดังโลกเสมือน มันทำให้ความคิดของเราวิ่งแล่นเสียจนจินตนาการฟุ้งเฟ้อ
ผมแค่สงสัย..การพูดคุยกันโดยอาศัยจินตนาการมากมายยิ่งกว่าการพูดคุยกันต่อหน้า และเมื่อวันหนึ่ง โชคชะตานำพาให้ผู้คนเหล่านี้มาพบกันบนรถไฟฟ้ากลางกรุงเทพมหานคร พวกเขา...จะยังจำกันได้ไหม ?
(วันศุกร์ ที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๕)
ขอบคุณ ดร.ธวัชชัย ครับ สำหรับดอกไม้ :D
ÄÄÄ..มาแอบคิดและสงสัยว่า..จินตนาการ..เพื่อลบ..ความเหงา..นั้นคงไม่ใช่..โรคความเหงาแก้ด้วยโลก..ออนไลน์..ผลคือ..ประลัยก์โลก..ที่จะเกิดขึ้นได้..เมื่อใดก็เมื่อนั้น..อ้ะะๆๆ...(..ขยะความเหงา..ของคนชื่อ..สตีฟ..อิอิ)...ยายธี