เพราะถ้ากลุ่มก๊าซแรกเริ่มตอนต้นกำเนิดระบบสุริยะ เมื่อเริ่มหดตัวแล้วจะมีการหมุน เหมือนนักสเก็ตน้ำแข็งที่ทำตัวหมุนไปรอบๆตอนเหยียดขาออกจะหมุนช้า แต่ถ้าหดขาแนบตัวแล้วจะหมุนเร็ว ทั้งหมดนี้เพราะการรักษาโมเมนตัมเชิงมุม
เมื่อกลุ่มก๊าซและฝุ่น ควบแน่นเกิดเป็นดาวเคราะห์ต่างๆแล้วทิศทางของการหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์ต่างๆ และทิศทางของการหมุนรอบดวงอาทิตย์ ก็มักเป็นไปตามทิศทางของการหมุนของ planetary disc ต้นกำเนิดในสมัยแรกเริ่มยกเว้นมีมวลขนาดใหญ่มาชนดาวเคราะห์บางดวง ในตอนเริ่มเกิดระบบสุริยะใหม่ๆ ซึ่งทำให้ความเร็ว หรือทิศทางในการหมุนรอบตัวเองเปลี่ยนแปลงไปมาก จากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ อย่างเช่นดาวศุกร์ที่หมุนรอบตัวเองช้ามาก ทำให้ด้านหนึ่งสว่าง หรือมืดอย่างเกือบถาวร เพราะหมุนรอบตัวเองรอบหนึ่งใช้เวลา 116.75 วันโลก ในขณะที่หมุนรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบ(หนึ่งปีของดาวศุกร์)ใช้เวลา 224.69 วันโลก
ทั้งดาวศุกร์ และโลก เกิดในระบบเดียวกัน อยู่ภายใต้เงื่อนไขทางฟิสิกส์อันเดียวกัน แต่มีปัจจัยที่การชนกันของ planetary body ที่เกิดกับดาวศุกร์ตอนเริ่มเกิดระบบสุริยะเท่านั้นเอง
มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยบริเวณเส้นศูนย์สูตร ความเร็วในการ หมุนรอบตัวเองของโลกเท่ากับ 1,700 กิโลเมตร / ชั่วโมง ส่วนบริเวณละติจูดที่ 60 องศา ความเร็วของการหมุนรอบตัวเองของโลกจะมีค่าประมาณ 850 กิโลเมตร / ชั่วโมง หรือประมาณครึ่งหนึ่งของความเร็วที่ศูนย์สูตร แต่บริเวณขั้วโลกความเร็วในการหมุนรอบตัวเองของโลกมีค่าเป็นศูนย์ ผลจากการที่อัตราความเร็วของการหมุนรอบตัวเองของโลกต่างกัน จะมีผลตามมาที่สำคัญ คือ แรงเหวี่ยงของโลกมีผลต่อน้ำหนักของวัตถุ เพราะเป็นแรงหนีศูนย์กลาง ดังเช่น วัตถุชิ้นหนึ่งมีน้ำหนัก 250 กิโลกรัมที่ศูนย์สูตร ขณะที่โลกยังไม่มีแรงเหวี่ยง แต่ถ้าโลกมีแรงเหวี่ยงเกิดขึ้นจะทำให้น้ำหนักของวัตถุเท่ากับ 249 กิโลกรัม แสดงว่าแรงเหวี่ยงจากการหมุนรอบตัวเองของโลกมีผลต่อน้ำหนักของวัตถุ มีผลต่อทิศทางของลมและกระแสน้ำ โดยทิศทางของลมและกระแสน้ำบริเวณขั้ว โลกเหนือจะเบนไปทางขวามือ ส่วนซีกโลกใต้จะเบนไปทางซ้ายมือ เพราะโลกหมุนรอบตัวเองจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก
ไม่มีความเห็น