วันนี้ผมได้รับแจ้งจากคุณนิพนธ์ พัชระภัทร์ ว่ามีพระผงสุพรรณหักครึ่งองค์ เหมาะที่จะใช้ดูเป็นเนื้อครู และได้ส่งรูปให้ผมดูทางเมล์
ผมฟังแล้วก็นึกว่าหักจริงๆ แต่พอเห็นรูปพระที่ส่งมาก็ปลาดใจ พระองค์นี้ไม่หัก แต่ปั้นดินไม่ติดเป็นก้อนเดียวกันมากกว่า ทำให้แผ่นหน้าพระกับแผ่นหลังที่น่าจะมีลายมือ แยกออกจากกัน
ดูตอนแรกก็ไม่น่าสงสัยอะไรมาก
คิดว่าเป็นพระแตกออกจากกันธรรมดาๆ ก็พยายามส่องดูเนื้อในที่หัก
ก็ไม่เห็นอะไร นอกจากน้ำว่านคลุมไปทั้งองค์
ด้านหน้ามีรอยนิ้วมือปรากฏทั้งองค์ ที่ค่อนข้างจะผิดปกติ ว่าเกิดขึ้นได้ยังไง
แต่เริ่มมาสงสัย และมาผิดสังเกตที่
เห็นลายพิมพ์คล้ายวงพระกร มาปรากฏที่ด้านหลังพระ
ตอนแรกมองเห็นเพียงวงเดียว
ดูไปดูมา พบว่ามีสองวง
แถมยังมีพระพักตร์ พระศอ อยู่รำไร
ลองถามหาอีกซีกหนึ่ง คุณนิพนธ์ก็บอกว่าไม่มี
ก็เลยต้องวิเคราะห์เท่าที่มี
ดูตามรูปการณ์แล้ว
พระผงสุพรรณองค์นี้ประกอบด้วยดิน 3 ก้อนขึ้นไป คือ
จากหลักบานที่ปรากฏ ทำให้คาดว่าพระผงสุพรรณองค์นี้ น่าจะเป็นพระองค์ท้ายๆ หรือสุดท้ายของวัน ที่สร้างจากเศษๆดิน ที่ตัดออกมาจากองค์อื่น ไม่ได้คลุกใหม่
ที่อาจเนื่องจากมีดินเหลือน้อย ไม่พอลงครก จึงใช้วิธีบี้ด้วยมือให้เข้ากัน ทำให้การเกาะของเนื้อดินของแต่ละก้อนไม่แน่นพอ
แม้จะพยายามกดให้เข้ากันในภายหลัง หลังจากกดพิมพ์ ครั้งที่ 3 แล้ว ก็ยังไม่แน่นอยู่ดี
คราบน้ำว่านฉ่ำทั้งองค์ แสดงว่าน้ำว่านมากพอ ถึงไฟความร้อนพอละลายน้ำว่าน แต่แรงน้ำว่านก็ช่วยให้ดินเกาะกันไม่ได้
ในที่สุดก็น่าจะแยกจากกัน แต่ไม่หลุดจากกัน ตั้งแต่ตอนสร้าง หรือระหว่างอยู่ในกรุ มาหักออกเด็ดขาดก็ตอนที่อยู่นอกกรุ เพราะไม่มีคราบกรุที่ด้านหลัง
จากผลการวิเคราะห์การสร้างพระผงสุพรรณองค์นี้ ทำให้ผมเข้าใจถึงเทคนิควิธีการสร้างพระผงสุพรรณที่ทำมาทั้งวัน ในวันหนึ่งของการสร้าง
ว่า
ดินที่ต้ดออกมาก็นำไปตำในครก เพื่อปั้นก้อนใหม่ หรือตำใหม่ให้เข้ากันแล้วนำมากดอีก
ยกเว้นองค์ท้ายๆ ที่ดินน้อย ไม่พอตำ จึงใช้มือบี้ให้เข้ากัน แต่ก็ไม่สำเร็จ
จึงยังแยกออกจากกันเช่นเดิม
วิธีการสร้างมีคำตอบอยู่ที่องค์สุดท้ายของวัน นี่เอง
ขอขอบคุณคุณนิพนธ์ที่เอื้อเฟื้อรูปพระให้มานั่งวิเคราะห์
องค์นี้ยังไม่หลุดจากกัน แต่มาจากเศษดินแน่นอน
จนได้ความรู้ ดั่งนี้แล
ไม่มีความเห็น