วันนี้ (อาทิตย์ที่ 17 มิ.ย. 2555) ที่วัดชลประทานรังสฤษฏ์ หลวงพ่อเจ้าอาวาส “พระธรรมวิมลโมลี” แสดงปาฐกถาธรรมโดยนำเรื่องราวเกี่ยวกับการจัดการความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างภิกษุของ “พระพุทธเจ้า” ที่มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกมาเล่าให้ญาติโยมฟัง ผู้เขียนไปถึง ณ ที่นั้นเมื่อท่านเล่าไปแล้วประมาณครึ่งชั่วโมงจึงไม่ได้ฟังรายละเอียดในช่วงแรก เก็บเกี่ยวได้แต่ใจความช่วงหลังที่ท่านบอกว่า “เราเขียนกฎหมายบังคับให้คนรักกันไม่ได้ เพราะความรัก ความสามัคคีต้องเกิดมาจากจิตใจที่บริสุทธิ์ รู้สึก-สำนึกผิดชอบชั่วดี เสียสละ และให้อภัย...การบริหารความขัดแย้งจำเป็นต้องอาศัยหลักของธรรมะ...พิจารณาให้เห็นว่าเหตุเกิดที่ไหน ให้ไปดับที่เหตุ...” ผู้เขียนจดจำสาระสำคัญได้ไม่หมดแต่ระหว่างนั่งฟังเห็นว่าสิ่งที่ท่านเทศน์สั่งสอนช่วยเตือนสติตนเองได้มากโดยเฉพาะเรื่องการดับที่เหตุ
หลังจบปาฐกถาธรรม ระหว่างนั่งรอญาติโยมใส่บาตรอยู่ในบริเวณลานหินโค้ง หลวงพี่ท่านหนึ่งเล่าเรื่องเกี่ยวกับ “ออง ซาน ซูจี” ที่ได้อ่านมาจากหนังสือพิมพ์ให้ฟังว่า หลังจากได้รับอิสรภาพ “ออง ซาน ซูจี” ไม่เอ่ยถึงเลยว่าเคยถูกกระทำจากรัฐบาลพม่าระหว่างถูกกักบริเวณเป็นเวลานานกว่า 20 ปีอย่างไรบ้าง สิ่งที่เธอพูดทั้งในประเทศและเวทีระดับนานาประเทศส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องว่า “ปัจจุบันและอนาคตประเทศพม่าต้องการอะไร”... ทำให้ผู้เขียนย้อนคิดกลับไปเมื่อคืนวันเสาร์ที่ 16 มิ.ย. ที่ได้ดูซีรีส์ญี่ปุ่นเรื่อง “มาซึรุ” ออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ฉากที่เป็นบทสนทนาระหว่างจักรพรรดิกับบรรดาเสนาอำมาตย์และขันทีทั้งหลาย ใจความประมาณว่า ...ในการจะปฏิรูปประเทศนั้นต้องไม่คิดภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ‘เราต้องการอะไร’ หากแต่ต้องคิดว่า ‘ประเทศต้องการอะไร’ ทั้งสองเรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนต้องย้อนกลับมาถามตัวเองว่า “ตอนนี้ประเทศของเราต้องการอะไร” …
หลวงพี่รูปเดิมกล่าวเชิญชวนญาติโยมว่า ก่อนกลับบ้านให้แวะไปดูพระประธานใน “ศาลา 100 ปี พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)” ที่เป็นผลจากแรงศรัทธาของญาติโยมที่ร่วมกันบริจาคเงินสร้าง และตอนนี้ช่างได้ทำการลงรักปิดทองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านว่าเวลาไปดูก็ดูให้ชัด …มองข้างหน้าชัดข้างหน้า มองข้างหลังชัดข้างหลัง มองตื้นชัดตื้น มองลึกชัดลึก ไม่มอง ไม่เห็น…ไม่ว่าท่านจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจที่จะพูดให้คิด แต่ถ้อยคำเหล่านี้กระทบใจจนทำให้ผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะต้องบันทึกไว้
ปลาทูแม่กลอง
17 มิถุนายน 2555
ไม่มีความเห็น