เช้านี้ึครูเมตตาโทรมาสอน หนูพึ่งขับรถเลี้ยวออกจากวัด แค่ได้ยินเสียงเรียกเข้่าของเบอร์ครู ใจก็ยิ้มพอครูเอ่ยว่า
"เชื่อพี่ไหมว่าติ๋วอยากเรียนปริญญาเอก"
"เชื่อเจ้าค่ะ"
"เพราะมันอยากมันเลยทุกข์ มันอยากเด่น อยากดูดี มันคิดว่ามันโก้ ไปใคร่ครวญดู"
พอครูวางสายหนูก็พยายามถามตนเอง เริ่มยอมรับกับตนเองบ้างค่ะ ว่าอยากเรียน แต่มันกลัวที่จะมองลึกเข้าไป. ว่าเพราะอะไรพอครูฉุดให้เข้าไปดูใจตนเอง ก็อึ้ง เหมือนเจอโจทย์เก่า แบบต้องร้องกับตนเองว่า
"เอาอีกแล้วตัวอยากเด่น อยากดัง ตัวอวดดีอีกแล้ว"
แต่มันก็ไม่ได้ยอมลงนะค่ะแค่เห็นแล้วก็เบื่อตนเองที่โง่ซ้ำซากถ้าเรียนเพื่อสั่งสมตัวกูก็ไม่มีประโยชน์
ดูจะแย่เข้าไปอีกด้วย
พิจารณาไปเรื่อยๆจนขับรถถึงที่ทำงานเตรียมตัวเข้าประชุมก่อนเริ่มครูเมตตาโทรมาอีกครั้งชี้กับหนูชัดขึ้นว่า
"มันเป็นกิเลสยังจะตามใจมันอีกเหรอ"
ครานี้ชัดกับตนเองว่า "หยุด"
เป็นการหยุดแบบเชื่อฟังค่ะ แต่ยังไม่เป็นปัญญากับตนเอง กระบวนการของเอกสารยังดำเนินไป แต่ก็ได้คำตอบกับตนเองว่า
"ไม่เรียน"
ไม่ว่าอย่างไร แม้มันจะรู้สึกขัดใจ แต่ก็ขอเชื่อครูบาอาจารย์ไว้ก่อนค่ะสิ่งที่หนูปรารถนาไม่สามารถได้มาด้วยเส้นทางนี้ ครูจึงเมตตาชี้ทางสว่าง ตราบใดที่ยังไม่มีปัญญาก็จงทำไปก่อน
"เข้าใจไหมติ๋ว เหมือนตอนที่ทำที่นั่งที่ยื่นออกมาตรงกุฏิ ทำตอนแรกหนูก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเป็นหน้าตาอย่างไรจะใช้ประโยชน์ได้อย่างไร แค่ตั้งใจทำตามที่ครูชี้แล้วก็ลุยทำ ทำ ทำและก็ทำ ก็ได้เห็นได้ประจักษ์กับตนเองมานับครั้งไม่ถ้วนบนเส้นทางที่เดินตามครูมา ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน คนตาบอดจะเห็นเส้นทางได้อย่างไร โชคดีแล้วที่มีครูมีคนตาดีคอยประคับประคองไม่ให้ตกทาง แสดงว่าเหตุเก่าทำมาดี เหลือเพียงอดทนกับกิเลสที่บีบคั้นในใจตนเอง แล้วก้าวย่างอย่างมั่นคงติดตามครูไป"
สรุปกับตนเองว่่า "โง่อยู่ก็อดเอา เชื่อครู"
สะดุดใจกับคำว่า "มันเป็นราคะ
มันเป็นความอยากยังจะตามใจมันอีก"ข้างในเบิกตาว่า
"นี่ก็คือราคะเหรอนี่"เหมือนหนูไม่เคยทราบนิยามนี้ลงไปในใจแต่คำพูดของครูได้สลักไว้ในใจ
เหมือนใส่รหัสคำว่า แบบนี้คือ "ราคะ" อย่าไปตามใจมัน
กราบขอบพระคุณครูค่ะ
นึกย้อนเพิ่มเติมกับตนเอง คำที่สลักลงไปในใจอีกคือ
"เราเคยคุยกันเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว"
มัน ปัง!!!! เข้าไปในใจหนูเลยค่ะ
ประมาณมีเสียงกับตนเองว่่า
"ไหนบอกว่า เชื่อฟังครู"
"ถ้าเชื่อฟังแล้วทำไมต้องให้ครู พูดหลายครั้ง"
พอเจอแบบนี้ก็เลยจบข่าวค่ะ ทำตามครูอย่างไม่ต้องสงสัย จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ขอเชื่อครูไว้ก่อนค่ะ
อย่าเชื่อเพราะเพียงว่าเขาเป็นครูของเรา :-)
ปัญหาคือ เรียนแบบไม่เพิ่มกิเลสได้ไหม และเรียนแบบทดสอบตัวเองกับกิเลสได้ไหมสิ่งที่เขียนไปนี้เพื่อทดสอบกิเลสน่ะครับ :-)
มีคำถามหนึ่ง เกิดจากอ่านงานนี้คือ "เชื่อไหมว่าเราอยากมีชีวิตต่อไป" ............................
ขอบพระคุณที่เข้ามาแลกเปลี่ยนค่ะขอโอกาสแลกเปลี่ยน
อย่าเชื่อเพราะเพียงว่าเขาเป็นครูของเรา
:-)
ใช่เลยค่ะ อย่าเชื่อเพราะท่านเป็นครู
ท่านสอนเสมอให้สังเกต พิจารณาจนให้เกิดปัญญาอย่างถ่องแท้แก่ตนเอง
สำคัญที่เกิดกระบวนการเรียนรู้ในตนเองจนเกิดปัญญา
เราไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ริเริ่มเองทุกอย่าง
สิ่งใดที่ดีอยู่แล้วก็นำมาพิจารณาปรับให้เหมาะสม
ต่อยอดองค์ความรู้จนทำให้เกิดกระบวนการแห่งปัญญา
ปัญหาคือ
เรียนแบบไม่เพิ่มกิเลสได้ไหม
และเรียนแบบทดสอบตัวเองกับกิเลสได้ไหมสิ่งที่เขียนไปนี้เพื่อทดสอบกิเลสน่ะครับ
:-)
มีโอกาสเป็นไปได้ไหม ตอบตามคำถามคือ
มีโอกาสเป็นไปได้ในทุกสิ่งอย่างค่ะเพราะเชื่อว่าทุกสิ่งคือกระบวนการเรียนรู้เหมือนที่ผู้รู้ท่านเปรียบไว้ว่า
การเดินไปยอดเขา ขึ้นไปได้หลายทาง บางคนเดินอ้อมรอบๆเขา
บางคนปีนหน้าผา บางคนเดินไปครึ่งหนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนใจเดินกลับ
หรือไม่ก็ใช้เส้นทางอื่น หรือบางคนก็นั่งเครื่องบนไปลง ณ ยอดเขาเลย
เชื่อว่าหากนักเดินทางไม่หยุดก็ต้องถึงยอดเขาสักวัน
ส่วนที่แต่ละคนต่างกันคือ กระบวนการเรียนรู้ระหว่างทางจริงไหมค่ะ
หากให้หนูเปรียบตนเอง ณ ตอนนี้ก็เหมือนกับนักเดินทางที่จะไปยอดเขา
แต่หนูไม่รู้ว่ายอดเขาไปทางไหนหรืออยู่ที่ไหน ไม่มีแผนที่
มีแต่เป้าหมาย ไม่ทราบที่ตั้ง แต่ครูท่านเป็นผู้ที่เคยเดินผ่านมาแล้ว
รู้แล้วว่าที่ๆหนูจะไปนั้นต้องเดินไปทางไหนค่ะ
มีคำถามหนึ่ง เกิดจากอ่านงานนี้คือ
"เชื่อไหมว่าเราอยากมีชีวิตต่อไป"
...........................
.สำหรับคำถามนี้ตอบ ณ ขณะนี้ที่ยังเป็นผู้โง่ ที่จิตใจยังมีกิเลส
ขนาดราคะที่บีบคั้นให้เกิดทุกข์ยังไม่อาจละได้หมดสิ้น ค่ะ
ความอยากมีชีวิตต่อไปก็ยังปรากฏให้เห็นอย่างไม่ต้องสงสัยค่ะแต่ก็ได้ตั้งใจอยู่
ปฏิบัติอยู่เพื่อทำความเข้าใจตนเองให้ถึงที่สุดของการเกิดค่ะ
กราบขอบพระคุณสำหรับคำถามที่กระตุ้นการพิจารณาค่ะ