เฉลิมลาภ ทองอาจ
โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ฝ่ายมัธยม
คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อทบทวนการให้นิยามคำว่า “หลักสูตร” (curriculum)
ของนักหลักสูตรที่ได้เสนอไว้ อาทิ หลักสูตรคือกิจกรรมต่างๆ
ที่จัดขึ้นทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน
เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายบางอย่างที่ได้กำหนดไว้ก่อนล่วงหน้า
(Tyler; Smith, Stanley และ Shores)
หลักสูตรคือแผนที่จะทำให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ (Taba)
หรือ หลักสูตร หมายถึง การเรียนรู้ต่างๆ
ที่ได้รับการวางแผนและวางแนวทางไว้แล้วล่วงหน้าโดยโรงเรียน
(Kerr) จะเห็นได้ว่า นิยามต่างๆ เหล่านี้
ยังคงสอดคล้องกับความหมายเดิมของคำว่า “currere”
ซึ่งเป็นรากศัพท์ในภาษาลาตินของคำว่าหลักสูตร ซึ่งหมายถึง “ลู่วิ่ง”
ที่ผู้เรียนจะต้องออกวิ่งไปให้ถึงจุดหมายอย่างใดอย่างหนึ่งที่ได้กำหนดไว้
เป็นที่น่าสังเกตว่า
การกำหนดจุดหมายหรือสิ่งที่ผู้เรียนจะต้องปฏิบัติได้นั้น
มักเป็นจุดหมายที่ผู้อื่น (ประเทศ รัฐ สังคม ชุมชน
ครอบครัว ฯลฯ) กำหนดขึ้น
แต่ในระยะต่อมาแนวคิดในการกำหนดจุดมุ่งหมายได้เปลี่ยนแปลงไป
กล่าวคือ
มีการหันกลับมาเน้นที่ความสำคัญของผู้เรียนแต่ละคน
ในฐานะผู้เลือกและผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาของตนเองมากยิ่งขึ้น
เปรียบเสมือนการที่ผู้เรียนแต่ละคนเป็นผู้กำหนดจุดหมาย
ออกแบบและสร้างลู่วิ่งที่ขึ้นเอง การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
สะท้อนให้เห็นถึงกรอบแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละยุคสมัย
การเปลี่ยนแปลงของกรอบแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตร
ส่งผลให้ทฤษฎีหลักสูตรเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
สำหรับคำว่าทฤษฎีหลักสูตรในที่นี้ หมายถึง
ข้อความรู้ที่จะใช้บรรยายหรืออธิบายคำถามสำคัญต่างๆ
เกี่ยวกับหลักสูตรในทุกๆ ด้าน
ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดการใคร่ครวญในประเด็นสำคัญต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการพัฒนาหลักสูตร
ซึ่งนักหลักสูตรพึงกระทำให้ตนเองเกิดความเข้าใจที่กระจ่างแจ้งเสียก่อน
คำถามสำคัญ ดังกล่าว เช่น ความรู้คืออะไรและเกิดขึ้นได้อย่างไร
ความรู้ใดที่มีคุณค่าและควรที่จะนำมาให้เรียน
ใครเป็นผู้กำหนดว่าความรู้หนึ่งสำคัญกว่าอีกความรู้หนึ่งหรือควรเรียนก่อน
จะจัดประสบการณ์หรือกิจกรรมเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้นั้นอย่างไร
จะวัดประเมินอย่างไรว่าผู้เรียนเกิดความรู้หรือเรียนรู้แล้ว
เป็นต้น คำถามต่างๆ ดังที่ได้ยกตัวอย่างมาแสดงให้เห็นว่า
ทฤษฎีหลักสูตรมีความสัมพันธ์กับปรัชญาสาขาญาณวิทยา (epistemology)
เป็นอย่างมาก เพราะมุ่งตั้งคำถามเน้นไปที่ “ความรู้” เป็นหลัก
ในขณะที่เรื่องการเรียน
การสอนกลับเป็นประเด็นรองลงไป ด้วยเหตุนี้
อาจกล่าวได้ว่า
กรอบแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรมีความเชื่อมโยงกับคำถามสำคัญต่างๆ
เกี่ยวกับการปรากฏขึ้นของความรู้ในบุคคลเป็นสำคัญ
หากจะกล่าวให้ชัดเจนขึ้น กรอบแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตร คือ
ความเชื่อกลุ่มต่างๆ เกี่ยวกับ
การเกิดขึ้นของความรู้ภายในบุคคล
และโครงสร้างของการจัดการจัดการความรู้ ซึ่งสัมพันธ์กับคำถาม อาทิ
ความรู้คืออะไร เกิดขึ้นอย่างไร และความรู้ใดมีคุณค่ามากที่สุด
(Morris, 1976: 299) จากนิยามดังกล่าวอาจสรุปได้ว่า
กรอบแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตร คือ
ความคิดและความเชื่อที่นักหลักสูตรมีต่อกระบวนการต่างๆ
ที่เกี่ยวกับ “ที่มา” และ “วิธีการ”
สร้างความรู้ในบุคคล ซึ่งจะนำไปใช้วางแผนหรือตัดสินใจใดๆ
เกี่ยวกับการกำหนดจุดประสงค์ เนื้อหา
วิธีการเรียนการสอนและการประเมินผลในหลักสูตรฉบับเขียน
และด้วยเหตุที่กรอบแนวคิดฯ
ของนักหลักสูตรแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกันออกไป
จึงส่งผลให้ทฤษฎีหลักสูตรมีหลากหลายตามไปด้วย
ทฤษฎีหลักสูตรดั้งเดิม
มาจากการที่นักหลักสูตรกลุ่มหนึ่งมีกรอบแนวคิดว่า
ความรู้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการใช้เหตุผล
ในการประมวลและสะท้อนความคิดต่างๆ ภายในตัวบุคคล ดังนั้น
ผู้เรียนก็ควรที่จะได้เรียนเนื้อหาสาระความรู้ที่ทำให้เกิดการใช้เหตุผล
เช่น คณิตศาสตร์ ไวยากรณ์ ตรรกศาสตร์ วาทวิทยา
ประวัติศาสตร์ ภาษาและวรรณคดี เป็นต้น กรอบแนวคิดเช่นว่านี้
ทำให้หลักสูตรเน้นไปที่เนื้อหาวิชาหรือความรู้ต่างๆ
ที่ผู้เรียนพึงศึกษาเพื่อพัฒนากระบวนการให้เหตุผลของตนเอง
อันจะนำไปสู่การแสวงหาความจริงแท้ (pursuit of truth)
ต่อมาเมื่อทฤษฎีการเรียนรู้มีพัฒนาการมากขึ้นเรื่อยๆ
นักหลักสูตรอีกกลุ่มหนึ่งจึงพยายามที่จะเสนอกรอบแนวคิดใหม่
ที่มีพื้นฐานมาจากความเชื่อว่า
ความรู้ไม่ใช่เรื่องของการใช้เหตุผลหรือเพียงการนึกคิดเอาเท่านั้น
แต่ความรู้ที่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการซึมซับประสบการณ์ต่างๆ
ในสิ่งแวดล้อมที่ปรากฏอยู่จริงในโลก
แล้วเกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างบางอย่างเพื่อสร้างเป็นความรู้ใหม่สำหรับตนเองขึ้นมา
นักหลักสูตรในกลุ่มนี้ จึงสร้างทฤษฎีหลักสูตรที่อธิบายว่า
หลักสูตรคือมวลประสบการณ์ที่ผู้เรียนพึงได้รับ
เพื่อให้พวกเขาได้ลงมือปฏิบัติหรือสัมผัสจับต้องสิ่งต่างๆ
ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความรู้เกี่ยวกับสิ่งนั้น
ทฤษฎีหลักสูตรในกลุ่มนี้จึงเน้นไปที่การจัดกิจกรรมและประสบการณ์อันหลากหลายให้แก่ผู้เรียน
ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างจากทฤษฎีหลักสูตรในยุคแรกเป็นอย่างมาก
สำหรับนักหลักสูตรที่ศรัทธาในวิธีการทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลอย่างยิ่งในปัจจุบันนั้น
มีกรอบแนวคิดที่เชื่อว่า
ความรู้ที่สำคัญและจำเป็นสำหรับผู้เรียนก็คือความรู้ที่มีอยู่ในการปฏิบัติงานจริงของผู้ใหญ่
ทฤษฎีหลักสูตรในกลุ่มนี้ จึงเริ่มจากการอธิบายว่า
ความรู้ใดบ้างที่จำเป็นสำหรับการประกอบอาชีพ
หรือเป็นความรู้ที่สำรวจพบในสังคมของผู้ใหญ่
และเด็กควรที่จะศึกษาเพื่อเป็นพื้นฐานหรือตอบสนองต่อความต้องการของสังคมเมื่อเติบโตขึ้น
การจัดการเรียนการสอนของทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มนี้
จึงดำเนินการภายใต้ความเชื่อว่า
โรงเรียนคือสังคมผู้ใหญ่จำลองที่ผู้เรียนจะต้องออกไปเผชิญ
ดังนั้น
โรงเรียนจึงมีหน้าที่สะท้อนให้นักเรียนเห็นความรู้และทักษะที่ผู้ใหญ่ในสังคมจะต้องปฏิบัติ
การให้ความสำคัญกับวิเคราะห์สิ่งที่สังคมต้องการ
แล้วนำมากำหนดความรู้หรือประสบการณ์ที่ผู้เรียนพึงได้รับในวัยเด็กเช่นนี้
ถือเป็นแนวคิดพื้นฐานของทฤษฎีหลักสูตรที่เน้นผลผลิต
ซึ่งก็มีจุดอ่อนที่สำคัญคือ
เป็นทฤษฎีที่มิได้คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล เพราะมิได้คำนึงว่า
ความรู้นั้นเป็นสิ่งที่ผู้เรียนต้องการหรือไม่
และที่จริงแล้วความรู้
โดยส่วนใหญ่ก็อาจจะเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นภายในบุคคล
มากกว่าที่จะรับมาจากภายนอกก็เป็นได้
กระแสความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20
ทำให้บุคคลเริ่มแสวงหาวิถีชีวิตหรือสิ่งที่เป็นความหมายที่แท้จริงสำหรับชีวิต
หลักสูตรที่รับใช้แต่ในที่สังคมต้องการจึงได้รับการพิจารณาจากนักหลักสูตรกลุ่มใหม่
ที่มีกรอบแนวคิดอันเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า
ความรู้ใดจะสำคัญจำเป็นหรือเป็นที่ต้องการมากน้อยเพียงใดก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล
ความรู้ที่สังคมให้คุณค่า อาจจะมิใช่ความรู้ที่บุคคลหนึ่งเห็นคุณค่า
ซึ่งก็ทำให้เขาสามารถ “ปฏิเสธ” ความรู้นั้นก็ได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การตัดสินใจว่าความรู้คืออะไร
ความรู้อะไรที่สำคัญ
และจะพัฒนาตนเองให้เกิดความรู้ดังกล่าวได้อย่างไรนั้น
เป็นเรื่องที่แต่ละบุคคลจะต้องตัดสินใจและดำเนินการเองตามศักยภาพที่ตนเองมี
ทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มนี้จึงมีแนวโน้มที่จะปฏิเสธทฤษฎีหลักสูตรกลุ่มที่เชื่อในความต้องการของสังคมหรือ
“บุคคลภายนอก” อื่นๆ
ที่จะเข้ามาอิทธิพลในการกำหนดเป้าหมายในชีวิตของแต่ละบุคคล
รวมทั้งปฏิเสธวิธีการเรียนการสอนใดๆ
ที่มิได้เริ่มจากความต้องการของผู้เรียน จะเห็นได้ว่า
กรอบแนวคิดของหลักสูตรกลุ่มหลังนี้
ผู้เรียนถือว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญที่สุดที่จะเป็นผู้เลือกด้วยตนเองว่า
อะไรคือสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตของเขา
และตนเองควรจะต้องทำหรือไม่ทำอะไร
หลักสูตรจึงมิใช่สิ่งที่กำหนดไว้ก่อนล่วงหน้า
ดังเช่นที่นักหลักสูตรทุกกลุ่มข้างต้นได้เสนอแนวคิดไว้
แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างระยะทางแห่งการ “ก้าวไป”
ข้างหน้าเรื่อยๆ ตามความสนใจ ความต้องการ
ความพร้อมและบริบทของผู้เรียนคนนั้น
คุณค่าของการศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีหลักสูตร
มิได้อยู่ที่การทำความเข้าใจว่าทฤษฎีหลักสูตรแต่ละทฤษฎีกล่าวไว้ว่าอย่างไร
แต่กลับอยู่ที่คำถามที่งอกเงยตามมาอย่างรวดเร็ว
อันเนื่องมาจากกรอบแนวคิดที่เป็นพื้นฐานของแต่ละทฤษฎีดังกล่าวนั้น
เช่น หากมีกรอบแนวคิดการพัฒนาหลักสูตรอันเนื่องมากจากความเชื่อที่ว่า
ความรู้เกิดจาการประสบการณ์
และเราควรที่จะประสบการณ์ที่หลากหลายให้แก่ผู้เรียน
คำถามที่ตามมาคือ
ประสบการณ์ใดจะมีนัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเรียนรู้มากที่สุด
เพราะผู้เรียนแต่ละคนอาจเกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ต่างกันก็เป็นได้
และจะต้องให้ประสบการณ์ดังกล่าวในอัตราที่มากน้อยเพียงใด
หรือให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกี่ครั้ง
กี่ชั่วโมงหรือประเมินผลอย่างไร
จึงจะมั่นใจได้ว่าผู้เรียนเกิดความรู้ขึ้นแล้ว เป็นต้น
นักหลักสูตรจำเป็นจะต้องตระหนักถึงคำถามเหล่านี้ให้มาก
เพราะจะทำให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนและมีหลักการที่มั่งคงเพียงพอ
ในการนำไปพัฒนาหลักสูตรฉบับเขียนที่เป็นรูปธรรม
และมีแนวทางการนำไปใช้ที่ชัดเจนตามความเชื่อของแต่ละกรอบแนวคิด
__________________________________________