ดังที่ได้บันทึกไว้แล้ว ว่าผมไปร่วมอภิปรายเรื่องมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ กับ 2 อธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยยักษ์ใหญ่
คำถามหรือหัวข้อการอภิปรายคือ การออกนอกระบบราชการ ไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ นั้น มันเป็นวิกฤตหรือโอกาส
หัวข้อการอภิปรายแบบนี้ คุณประโยชน์ไม่ได้อยู่ที่คำตอบว่าเป็นวิกฤตหรือโอกาส แต่อยู่ที่เหตุผลหรือคำอธิบาย วิธีคิด ข้อมูลประกอบมากกว่า และการอภิปรายในลักษณะ "ติดดิน" คือ มีประเด็นเชิงปฏิบัติน่าฟังกว่ามาก
คำอภิปรายของ 2 อธิการบดี คือ ศ.ดร.คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ แห่งจุฬาฯ กับ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ จึงน่าฟังกว่าคำอภิปรายของผมมาก เพราะผมไม่มีประสบการณ์ตรง พูดได้แค่ระดับหลักการ
ที่จริงก็เป็นที่ชัดเจน ว่าการออกจากระบบราชการ ไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐนั้น ก็เพื่อสร้างโอกาสในการทำงานสร้างสรรค์หลากหลายให้แก่สังคม ผ่านความเป็นอิสระ (แต่มีความรับผิดชอบ) ใน 3 ด้าน คือ
1. ด้านการเงิน
2. ด้านการบริหารคน
3. ด้านการบริหารวิชาการ
แต่ถึงจะออกไปมีอิสระ มหาวิทยาลัยเหล่านี้ก็ยังต้องการการสนับสนุนด้านการเงินจากภาครัฐ สำหรับทำงานวิชาการยากๆ ให้แก่สังคม
ภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ก็คือ
(1) แม้ยังอยู่ในระบบราชการ แต่มหาวิทยาลัยก็ถูกรัฐบาลและกลไกต่างๆ ล่อให้ออกไปอยู่นอกระบบราชการกระแสหลักตั้งเกือบครึ่งตัวแล้ว
(2) ส่วนที่ถูกล่อออกไปอยู่นอกระบบราชการนั้น รัฐบาลได้ใช้วิธีดูแลแบบไม่จริงใจ ทำให้มหาวิทยาลัยมองว่าถ้าออกไปอยู่นอกระบบราชการจะต้องเผชิญวิกฤตจากความไม่จริงใจของรัฐและกลไกอื่นๆ ของราชการ
ผมชอบคำอภิปรายของหญิงเหล็ก คุณหญิงสุชาดา มากที่สุด ว่าออกหรือไม่ออกจากระบบราชการก็วิกฤตอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยของรัฐจะต้องปรับตัวรวมพลังกันเต็มที่ เพื่อรับมือกับแรงบีบคั้นรอบด้าน เพื่อทำหน้าที่แก่บ้านเมืองให้ดีที่สุด
วิจารณ์ พานิช
7 ก.ย. 49
จากขวา ศ.ดร.คุณหญิงสุชาดา กีระนันท์, ผศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ(ผู้ดำเนินรายการ), และ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์
อธิการบดี เสวนานอกรอบกับ เลขาธิการ สกอ.
ไม่มีความเห็น