The good old days ?


ได้อ่านบทความชื่อ "The good old days ?" ของคุณนิพัทธ์พร เพ็งแก้ว เเล้วเห็นว่ามีสาระเเละให้เเง่คิดดีๆจึงควรจะนำมาเผยแพร่ครับ

ดูหนังย้อนยุคของเมืองไทยทั้งละครทีวี ภาพยนต์ นานาสารพัด เล่าเรื่องเพศ เรื่องความสัมพันธ์หญิงชายไว้อย่างเป็นระเบียบ เรียบร้อยงดงามอย่างกับภาพในฝัน ฉากคุ้นตาก็นางเอกห่มสไบร้อยมาลัย เด็ดดอกไม้ นั่งเจียนใบตองห่อขนม ทำพานบายศรี อุดมคติสุดของหญิงไทยก็ “แม่พลอย” แห่งสี่แผ่นดินนั้นแหละ มีชีวิตงดงามยุงไม่ไต่ไรไม่ตอม ไม่มีด่างมีพร้อย ไอ้ที่จะมา “แรด” ชนิดสุดฤทธิ์สุดเดช สุดลิ่มทิ่มประตู อยากมีผัวตัวสั่น...อย่างที่วัยรุ่นสาวไทยยุคนี้ถูกตราหน้า ดูจะอยู่กันคนละโลก ส่วนชายไทยนั้นที่เป็นสุดยอดของอุดมคติ นั่ง ยืน เดิน เฉยไปเฉยมา สามารถอดทนอดกลั้นอย่างเท่ห์สุดๆ ก็ชายไทยชั้นสูงอย่าง “ชายกลาง” แห่งบ้านทรายทอง กับประมาณป๋า...เอ๊ยคุณเปรม...ผัวแม่พลอย นั้นแหละ ซึ่งแม้จะเคยมีอีหนูอยู่ในบ้าน แต่พอมามีแม่พลอย ก็สงบราบคาบ ผัวเดียวเมียเดียว สร้างชีวิตในฝันอันดีงาม ไม่มีตบตีด่าทอใดๆ ไปจนสิ้นใจจากกัน

ภาพชีวิตคู่ผัวเมียในนิยาย ในหนังพีเรียดย้อนยุค มันดูบรรเจิดราวภาพฝัน แต่ถ้ามันเคยเกิดขึ้นจริงๆ เคยเป็นรากฐานอันมั่นคงแน่นหนา เคยเป็น “เหตุ” อันสร้างมาแสนดีเลิศประเสริฐศรีเช่นที่เชื่อๆ จนสร้างหนังสร้างละครออกมาให้ดูเป็นกุรุส...แต่ทำไมเล่า “ผล” ในปัจจุบัน...วัยรุ่นไทย ความสัมพันธ์ทางเพศของคนไทย จึงกลายเป็นความยุ่งเหยิงมั่วซั่ว เต็มไปด้วยปัญหาสังคมทำแท้ง ข่มขืน ติดเอดส์ ซื้อขายบริการทางเพศติดอันดับโลก ปัญหาเมียน้อยเมียหลวง แย่งผัว มีชู้ ตบกันด่ากัน ฆ่ากันวินาศสันตะโร มันไปเอามาจากไหน ลอกเลียนแบบกันมาจากไหน ทั้งที่อดีตชาติแสนงดงามยังปรากฏอยู่ในหนัง ละคร นิยาย วรรณกรรมต่างๆรอบตัว อยู่ในคำสั่งสอนของกระทรวงวัฒนธรรม ตำรับตำราเรียนมากมาย แต่ความเป็นจริงที่ปรากฏ กลับสวนทางอยู่ตลอดเวลา

วันเก่าๆ ของเมืองไทย ในเรื่องสัมพันธภาพทางเพศนั้น มันงดงามอย่างที่เชื่อกันมาจริงๆ ด้วยหรือ­ มันเคยมี the good old days  อยู่จริงแค่ไหน­ เมืองไทยเมื่อก่อน วัยรุ่น หญิง-ชาย ผัวๆเมียๆ ในสังคม เขาเคยอยู่กันมาอย่างไร­


 

แต่ก่อนดิฉันก็เชื่ออย่างที่เชื่อๆ กันมานั้นแหละ แต่การลงทำงานภาคสนามเก็บข้อมูลจากชาวบ้านมากมาย มันคนละเรื่องกันไปเลย หลักฐานในงานวรรณกรรมเป็นลายลักษณ์อักษร มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลาง รุ่นบรรพบุรุษเราเลย รุ่นแสนจะ “คลาสสิค” ของไทยนั้นแหละ รุ่นที่เราเชื่อๆ ว่าบ้านเมืองดีสงบงดงาม ผู้คนอยู่กันเหมือนภาพในฝัน ลองไปอ่าน “บทละครครั้งกรุงเก่าเรื่องนางมโนห์รา” ฉบับหอสมุดแห่งชาติดูเถิด นั่นน่ะบอกชัดเลยว่า ผู้หญิงไทยเคยอยู่กันมาอย่างไร และแม่ด่าลูก ลูกด่าสวนกลับแม่ มันรุนแรงยิ่งกว่าปากตะไกร ยิ่งกว่าเอาน้ำกรดสาดในสมัยนี้ ซะด้วยซ้ำ เพราะอีตอนที่หม่อมแม่ห้ามนางมโนห์รา ไม่ให้ติดปีก ”บิน” ออกไป “แรด” เล่นน้ำ หม่อมแม่อ้างสารพัดทั้งความรัก ความหวง ความห่วงลูกสาว จนนางมโนห์รา “นางเอก” จากนิทานชาดกถึงกับตัดพ้อยอดคุณแม่เอาอย่างถึงพริกถึงขิงเลยว่า น่าสงสารพระมารดา อนิจจามาหวงลูกเอาไว้ แก่แล้วแม่จะค่อยให้ ผู้ชายที่ไหนจะเหลียวแล ธรรมเนียมมาแต่ไหน ใหญ่ใหญ่มานอนอยู่กับแม่ แกล้งหวงเอาไว้ให้เฒ่าแก่ ผู้ชายมาแลก็น่าเกลียด

 

อันนี้ลูกสาวสมัยอยุธยาพูดเองเลยว่า หวงไว้แต่ในบ้าน ได้แก่คาบ้าน ชะดีชะร้ายหาผัวไม่ได้พอดี คราวนี้คุณแม่สมัยอยุธยาถึงกับลมออกหู แว้ดใส่เลยว่า ตัวเจ้ายังน้อยสักเท่าเขียด เจ้ามาวอนแม่จะมีผัว ....ลูกเอยจะเลี้ยงเอาผัวแขก ลูกเอยจะเลี้ยงเอาผัวไทย เลี้ยงไว้ให้หนำใจ ส่งให้อ้ายมอญมักกาสัน ส่งให้อ้ายจีนปากมอด ให้มันกอดจนตายดั้น อ้ายมอญมักกาสัน ส่งให้ญี่ปุ่นหัวโกน เลี้ยงลูกชาวบ้านเอย อีนี่ใจยักษ์ใจโลน อ้ายญี่ปุ่นหัวโกน หนำใจผู้เจ้ามโนห์รา

 

นางมโนห์ราโดนด่าขนาดนี้ ว่าจะออกไปมีผัวนานาชาติรึไง มีหรือนางจะน้อยหน้า นางด่าแม่กลับเอาเลยว่าลูกไทเจ้าแม่เอย  แม่ให้ผัวไทยแก่ลูกรา จีนจามพราหมณ์คุลา ลูกยาจะเอามันทำไม เชิญแม่เอาเองเถิดนางไท เป็นผัวพระราชมารดา

 

คราวนี้แม่-ลูกตะลุมบอน แลกหมัดคนละตุบละตับ ด้วยคำแสบเจ็บใจอย่างไม่ต้องยั้ง 

 

เลี้ยงลูกชาวบ้านเอย อีนี่ใจแข็งใจกล้า กูจะพลิ้วหิ้วขา หน้าตากูจะตบให้ยับไป ไว้กูจะหยิกเอาหัวตับ ไว้กูจะยับเอาหัวใจ ปากร้ายมาได้ใคร พวกอีขี้ร้ายชะลากา ขวัญข้าวเจ้าแม่อา ตัวแม่ก็ทำเป็นไม่สู้ รู้มากอีปากกล้า มึงไปได้มาแต่ไหน พระพายพัดไป สมเพชลมพัดอีดอกทอง

 

อย่าลืมนะจ๊ะ ว่านี่เป็นสำนวนของแม่รุ่นอยุธยา สมัยคลาสสิคของไทยด้วยนะจ๊ะ ไม่ใช่คนถ่อยๆ สมัยนี้พูดกัน แม่รุ่นโบราณนั้นเขาให้พรลูกสาวอย่างเป็นสิริมงคลมาแล้วว่า “อีดอกทอง” ส่วนลูกนั้น อนิจจังอนิจจา...สวนกลับได้สาหัสหนักหนา ทำให้แม่เต้นโลดแทบถลามาตบเอาได้ เพราะลูกจะ “ดอกทอง” เหมือนใครล่ะ ถ้าไม่ใช่ “นางแม่ของลูกอา แม่มาด่าลูกไม่ถูกต้อง ทั้งพี่ทั้งน้อง เหล่าเราดอกทองเหมือนกัน ดอกทองสิ้นทั้งเผ่า เหล่าเราดอกทองสิ้นทั้งพันธุ์ ดอกทองเสมือนกัน ทั้งองค์พระราชมารดา


นี่มันเรื่องเล่าจากบทละครครั้งกรุงเก่าสมัยอยุธยา เก๋ากึ้กหนักหนายังเป็นได้ขนาดนี้ ไม่ได้ห่างไกลสักเท่าไหร่กับอาการใส่สายเดี่ยว “ออกไปหาผัว” ของสาวไทยยุคนี้ซะล่ะมั้ง เอ้า...ขยับใกล้เข้ามาหน่อย ในสมัยแม่พลอยรัชกาลที่ ๕  ชายหญิงไทยมีสวัสดิภาพในเรื่องเพศ ในเนื้อตัวของตัวเองขนาดไหน ลองฟังที่พี่ทองแถม นาถจำนง เล่าไว้ในหนังสืองานศพคุณพ่อว่า ยุคสมัยของย่าจอน (เกิดปีพ.ศ.๒๔๓๓) นั้น งานที่หนุ่มสาวนิยมไปเที่ยวกันมากที่สุด คืองานภูเขาทอง ย่าเล่าว่า หนุ่มไทยสมัยโน้น ขอบลวนลามจับนมผู้หญิงสาว สาวๆ ที่จะไปเที่ยวกลางคืน จะต้องรู้จักป้องกันตัวเอง ย่าบอกว่า ตัวย่าใช้สองวิธี คือบางทีก็เอากะลามะพร้าวมาครอบนมไว้ป้องกัน บางทีก็เอาเข็มเหน็บเอาไว้  ไอ้หนุ่มมาจับ ก็จะถูกเข็มแทง

 

สังคมสมัย ร.๕ นั่นน่ะยุคคลาสิค ยุคอุดมคติบ้านเมืองดีศีลธรรมเริ่ดของไทยอีกเช่นกัน แต่ผู้หญิงไทยไปเดินเที่ยวงานสาธารณะ ไฟสว่าง ผู้คนมากมาย ชายไทยรุ่นคุณทวดคุณปู่มันยังจ้องจับนม จ้องขยำนมผู้หญิงกันไปทั่ว แถมบีบๆ จับๆ กันกลางวัดซะด้วยซ้ำ แบบนี้นี่นะ The good old days

 

กล้มาอีกนิด หนุ่มสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ คุณตาสังเวียน  เมฆสุวรรณ ชาวบางขุนเทียน เล่าให้ดิฉันฟังเมื่อสิบกว่าปีก่อนว่า สมัยสงครามญี่ปุ่น หนุ่มรุ่นตาที่เป็นอาสาสมัครหน่วยดับเพลิงกรุงเทพฯ ต่างสนุกกันมากในช่วงสงครามเพราะ “เรายังหนุ่ม ได้ต้อนสาวๆ เข้าหลุมหลบภัยก็สนุกล่ะ เราเที่ยวลวนลามเกเรเขานั่นน่ะสนุกใหญ่ เราเป็นหนุ่มเห็นสาวๆ เขากลัว ก็ชวนเลยนะมานี่ๆ เธอมาทางนี้ไปกับฉัน เขาเห็นเราแต่งเครื่องแบบเขียวๆ เขาก็เชื่อเรา...คุณมาทางนี้ๆ เขาตกใจมือตีนอ่อนตามเรามาทั้งนั้น พอจูงหลบๆ ลับสายตาคนได้แล้วก็ลวนลามเขา (เฮ่อๆๆๆๆๆ...)

 

ขณะผู้คนตระหนกอกสั่น ระเบิดลงโครมๆ ครืนๆ หนุ่มไทยรุ่นเก่ายังไล่จับนม หลอกลวนลามสาวๆ มันส์มือ ไม่มียั้ง แต่ขอโทษที ตอนผู้คนชุลมุนหนีคลื่นสึนามิสมัยนี้  ดิฉันไม่เห็นเคยได้ยินข่าวว่าผู้ชายคนไหน มันจะไปจ้องขยำจับนมใครอยู่ตรงไหนเลย

ภาพความเป็นจริงแต่ละยุคของเมืองไทยที่ได้เห็น  มันคนละเรื่องกับภาพความเชื่อและความฝันที่เราถูกทำให้เชื่อๆ กัน และมันคงเจ็บแสบพิลึกสำหรับคนที่ยังอยู่กับความฝัน และพยายามทำความฝันให้มันเป็นจริงให้ได้ หากจะแก้ปัญหาให้ถูกจุด  ก็ต้องเริ่มจากการ “อมรับ” ความเป็นจริงกันซะก่อน ไม่งั้นก็นั่งด่าเด็กวัยรุ่น นั่งโทษกันแต่เทคโนโลยี โทษแต่ความเจริญของสังคมสมัยใหม่ ส่วนรากฐานความเป็นมาที่ดูแสนจะกระดำกระด่าง แสนจะสกปรกในความรู้สึกจนยากจะยอมรับ กลับถูกกวาดไปซุกอยู่ใต้พรม

เป็นมันแต่อย่างนี้ ทำยังไงก็แก้ปัญหาไม่ได้ เกายังไงก็ไม่มีวันถูกที่คัน


ขอขอบคุณข้อมูลจาก::http://www.teenpath.net/content.asp?ID=12021#.T9dwZhcthbw

หมายเลขบันทึก: 491010เขียนเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 23:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 18:49 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท