..อารมณ์..เก้ๆกังๆ..


                               ..อารมณ์..เก้ๆกังๆ..



การถูกฝึกให้ควบคุมอารมณ์ให้สงบนิ่งอยู่เสมอนั้น เป็นการดีสำหรับบางสถานการณ์ แต่อาจเป็นการแปลกพิลึกได้ในหลายๆครั้ง เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่สามารถแสดงอารมณ์ต่างๆได้โดยเปิดเผย แต่เรากลับนิ่งเฉย ดิฉันไม่เคยรู้ตัวเลย ว่าได้กลายเป็นคนแบบ” ไม่เข้าพวก” หรือ”ไม่สามารถจัดเข้าพวกได้” ในหลายๆหน

เพื่อนคนหนึ่งวิเคราะห์ให้ฟัง(ตอนที่ดิฉันแก่แล้ว)ว่าสมัยเล็กๆ เหตุที่ดิฉันรู้สึกโดดเดี่ยวลึกๆอยู่บ่อยๆทันทีที่ก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียน คงเป็นเพราะดิฉันมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร และพูดกับเพื่อนวัยเดียวกันไม่ใคร่รู้เรื่อง เนื่องจากอยู่กับผู้ใหญ่มากเกินไป จึงกลายเป็นคนช่างคิดเกินวัย เลยต้องพยายามหาทางออกด้วยการใช้จินตนาการแต่งเรื่องเพื่อให้มีโอกาสได้สื่อสารกับคนอื่น

ดิฉันจะนั่งเล่านิทานให้น้องๆ ฟังทุกวัน ระหว่างที่นั่งรถบัสไปโรงเรียน โดยมีเพื่อนผู้ชายรุ่นเดียวกันคนหนึ่งเป็นแฟนคลับเจ้าประจำ มานั่งคอยฟังตาแป๋ว ดิฉันมีความสุขสนุกสนานลั้นลันลามาก เมื่อเพื่อนนั่งฟังอย่างตั้งใจ เพราะเขาเป็นเพื่อนคนเดียว(ในรถ)ที่ดิฉันมี อันที่จริงน้องตัวน้อยๆนั้นน่ารักนัก แต่ที่ไหนจะคุยกันรู้เรื่องเหมือนเพื่อนวัยเดียวกันเล่า

ยิ่งเพื่อนทำท่าตั้งใจฟัง ดิฉันก็จะยิ่งเล่าได้อย่างออกรสออกชาติ จนน้องตัวเล็กๆ นั่งฟังตาโตอ้าปากหวออย่างตื่นเต้นสุดเหวี่ยง ในขณะที่เพื่อนนั่งจุ้มปุ๊กเบิ่งตาฟังอย่างตั้งใจตลอดเวลาสี่สิบห้านาที ดิฉันจึงเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าเขาเห็นเราเป็น"เพื่อนซี้ย่ำปึ้ก"อย่างแน่นอน จึงไม่ทอดทิ้งกันเช่นนี้

วันหนึ่งดิฉันเล่านิทานจบแบบตื่นเต้นเร้าใจตอนรถถึงโรงเรียนพอดี.... หากเพื่อนก็ยังนั่งฟังตาจ้องเป๋ง เหมือนน้องเล็กๆไม่มีผิด ช่างน่ารักจริงๆ .... ดิฉันคิด... ได้เวลาที่เราจะตอบแทนความน่ารักของเขาแล้ว..... ปากก็ไวดังใจนึก... ดิฉันบอกเพื่อนอย่างจริงใจที่สุดว่า....

“….คือเธอน่ารักจังเลย เรารักเธอ.... เราเลย.....”

ดิฉันพูดไม่ทันถึงตอนไคลแม็กซ์ เพื่อนก็ร้องเฮ้ยดังลั่นแล้วคว้ากระเป๋านักเรียนเผ่นแน่บลงจากรถไม่เหลียวหลัง... ปล่อยให้ดิฉันยืนเก้ๆกังๆ ด้วยความงงสุดขั้ว ..!!...

ดูเถิด....เราอุตส่าห์พูดอย่างอ่อนหวาน ดูดีมีชาติตระกูล .....เพื่อนกลับเปิดแน่บไปต่อหน้าต่อตา..... เสียมรรยืดสิ้นดี
...รู้งี้บอกไปด้วนๆหยั่งเคยดีฝ่า..!..

“ อะ... เราเลยยืมไอ้นี่มาให้ ....’ตูนไอ้มดแดง เอาไปอ่านซะไป๊” …. เฮ้อ....!...

.....พวกผู้ชายนี่ก็แปลกดี ถ้าพวกเขาตกใจ เขาจะหนีไปจากสิ่งนั้นให้เร็วที่สุด.... ในขณะที่เราผู้หญิงจะพูดคุยปรับทุกข์กันจนหาทางออกเจอ โดยไม่เห็นต้องเปิดหนีสี่ประตูต่อศูนย์เลยสักนิด

ประสบการณ์ชุดนี้ทำให้ดิฉันได้ข้อคิด เกิดวิจารณญาณว่าเรื่องบางเรื่องนั้น กุลสตรีสมควรเก็บไว้แต่ในอก ไม่ควรภูมิใจเสนออย่างโล่งโจ้งโอ่โถง เพราะอาจเสียฟอร์มอย่างมหาศาลได้ในที่สุด ......อย่างไรก็ตาม บทจะเก็บอารมณ์ ดิฉันก็เพียรเก็บไว้จนมิดชิด แบบที่ไม่รู้ว่าจะเก็บไว้ทำไม แต่มันก็เป็นนิสัยบ๊องๆ ที่ดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไรกับตัวเองดี

เวลาดูหนังสมัยเล็กๆ ในขณะที่ประชาชนรอบข้างหัวเราะก๊ากๆๆๆสนั่นหวั่นไหวนั้น ดิฉันจะนั่งปิดปากอมยิ้มสุดขีดด้วยอารมณ์ขันถึงขีดสุด และหัวเราะแบบไม่เปิดปากอย่างเงียบๆ ไม่มีเสียง แต่มีลมฟู่ๆออกทางจมูกนิดหน่อย และดิฉันก็ยังคงนั่งอมยิ้มสุดขีด และหัวเราะ(ฟู่ๆ)อย่างนี้ทุกครั้งที่ดูหนัง ไม่ทราบว่าเพราะอะไรเหมือนกัน อยากรู้ต้องลองทำดูนะคะ... แล้วจะได้อารมณ์ “ขำอมๆ” สนุกไปอีกแบบ : )

ครั้งที่เรียนจบมัธยมปลาย ในวันปัจฉิมฯที่ทุกคนร่ำไห้อาลัยกันนั้น ดิฉันรู้สึกใจหายอยู่พอประมาณ แต่ก็ไม่ได้ร้อง เพียงแต่นั่งนิ่งๆ และมองเพื่อนที่กำลังร้องไห้ .....ด้วยความรู้สึกเก้ๆกังๆ ...ดิฉันรู้สึกใจหายอย่างที่ว่า แต่ไม่คิดว่าจะต้องร้องไห้สะอึกสะอื้น....

คือรู้สึกเศร้า แต่ไม่ใช่ความเศร้าที่ถึงกับทำให้เราต้องร้องไห้ ดิฉันอยากอธิบายเพื่อนอย่างนี้ แต่ไม่กล้าพูด กลัวเพื่อว่าขวางโลก...

ดิฉันถามตัวเองว่าถ้าเราไม่ร้องไห้ เพื่อนจะว่าเราไม่เข้าพวกอีกไหม ...แต่ถ้าเราร้องไห้ ก็อาจแปลว่าเรากำลังพยายามทำให้เหมือนเพื่อน ทั้งที่เราไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

"เฮ้อ !…..งั้นไม่ร้องดีกว่า..." ดิฉันบอกตัวเองอย่างนั้น......แล้วก็นั่งมองเพื่อนๆร้องไห้กันต่อไป(อย่างไม่ทราบจะทำอย่างไรกับชีวิตตัวเองดี)

เพื่อนคนหนึ่งมาบอกทีหลังว่าเขารู้สึกว่าดิฉันเป็นคนแปลกพิลึก ....เพราะเดาอารมณ์ไม่ถูกเลย เขาไม่เคยเห็นดิฉันร้องไห้ ไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ ...เหมือนเป็นคนไม่มีอารมณ์.... ประโยคนี้ของเพื่อน เล่นเอาดิฉันเสียความมั่นใจในตัวเองไปพักใหญ่ เพราะดูคล้ายคนหมดสมรรถนะ หย่อนสมรรถภาพยังไงก็ไม่รู้ รู้สึกเป็นห่วงตัวเองชะมัด

อีกตัวอย่างหนึ่งของความไม่เข้าพวกของดิฉัน คือครั้งหนึ่งในงาน"วันแม่" ของคณะ   ดิฉันและแม่ต้องขึ้นเวทีร่วมกับแม่ๆลูกๆอีกหลายคู่ พิธีกรประกาศให้ลูกๆคุกเข่ามอบพวงมาลัยกราบคุณแม่บนเวที คู่แม่ลูกคู่อื่นๆกอดกันแล้วก็น้ำตาไหล บางคู่น้ำตาไหลตั้งแต่ยังไม่ได้กอด บรรยากาศกำลังซาบซึ้งชวนให้ตื้นตันใจ

ดิฉันคุกเข่ากอดและและกราบแม่ที่ตัก  ตอนแม่หอมแก้มซ้าย ดิฉันก็เหลือบตาไปทางด้านขวา ...เห็นคู่แม่ลูกที่อยู่ทางขวามือกำลังสะอึกสะอื้น...

...พอเอียงแก้มขวาให้แม่หอม ทางซ้ายมือดิฉัน คู่แม่ลูกนักศึกษากำลังน้ำตาไหลพรากๆ กันใหญ่ทั้งแม่ทั้งลูก

...แม่หอมเสร็จแล้ว ดิฉันก็กอดแม่เสร็จแล้ว... แล้วก็หันมองหน้ากันแบบงงๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร ระหว่างร้องไห้ให้เหมือนคู่อื่นๆ กับกอดและหอมกันต่ออีกหน่อย

..แล้วดิฉันกับแม่ก็กอดและหอมกันต่ออีกสองที แต่คู่อื่นยังร้องไห้ไม่เสร็จ เราเลยนั่งบนเวทีแบบเก้ๆกังๆ จะยิ้มก็ไม่เข้าท่า จะร้องไห้ก็ไม่เข้าที  จะลุกก็ดูไม่ดีแหงๆ..

"...ตูจะทำยังไงดีหว่า...." ดิฉันถามตัวเองอย่างขันๆในใจ ...แม่ก็คงนึกอย่างนี้เหมือนกัน.....

ดิฉันและแม่ผ่านเหตุการณ์บนเวทีครั้งนั้นมาได้ ด้วยอารมณ์เก้ๆกังๆร่วมกัน สงสัยว่านิสัยบางเรื่องดิฉันก็คงมีส่วนคล้ายแม่ จะเรียกว่าใจแข็งคงไม่ใช่ เรียกว่า "...ไม่รู้จะทำยังไงดี...".ดูจะเหมาะกว่า... แบบว่ามันเก้ๆกังๆดีชะมัด...

และสุดท้าย ครั้งหนึ่งในภาวะวิกฤตเฉียดตาย ดิฉันและเพื่อนร่วมงานอยู่ในรถตู้ที่คนขับโชว์ลีลาท้ามฤตยูเหยียบร้อยสี่สิบ และแซงอย่างระห่ำโดยไม่คิดชีวิต ทันใดนั้น รถคันหนึ่งพุ่งสวนมาใกล้เกินกว่าจะหักหลบ ดิฉันรู้สึกได้เมื่อเห็นเหล็กพุ่งมาเฉียดแทบจะเบียดเหล็ก

...... คนขับของเราบิดพวงมาลัยหนึ่งมิลในชั่วพริบตานั้น...ทั้งรถรอดพ้นมรณะไปหวุดหวิดแบบเส้นยาแดงผ่าสี่....

ในขณะที่ประชาชนกรีดร้องลั่นกันทั้งรถ ....ดิฉันได้แต่นั่งตาปริบๆและความหาลูกอมในกระเป๋า ...คือรู้สึกหิวขึ้นมาเฉยๆ สันนิษฐานว่าเกิดจากการใช้พลังงานลุ้นมากเกินไป          เพื่อนหันมาพูดเสียงสั่นๆว่า "นี่เธอนั่งเฉยอยู่ได้ยังไง เราตกใจกันแทบตาย.. !! "  ดิฉันตอบเพื่อนตรงๆจากใจว่า  "เราก็ตกใจแทบตายเหมือนกัน   แต่พวกเธอช่วยกรี๊ดแทนเราแล้ว......."

ดิฉันตอบดีๆแท้ๆ เพื่อนกลับฟาดเผียะเข้าให้ที่ต้นแขน พร้อมกับค้อนขวับให้อีกหนึ่งที ผู้หญิงนี่ก็แปลกนักละ เอะอะก็หยิก เอะอะก็ตี อยู่ใกล้ๆแล้วเจ็บตัวดีชะมัด

อย่างไรดี ดิฉันขอยืนยันว่าตัวเองเป็นสุภาพสตรีขนานแท้และดั้งเดิม สูตรโบราณ และเจ้าเก่า ดังนั้นจึงมีความกลัวและความตกใจ และอารมณ์สะเทือนใจครบทุกประเภทที่ผู้หญิงเขามีกันครบถ้วน เพียงแต่ดิฉันออกจะแปลกแยกไปนิดหน่อย และความรู้สึกช้า (ไปเล็กน้อย) เท่านั้น

.....ถึงได้มีอารมณ์เก้ๆกังๆอย่างที่เล่าไปทั้งหมดข้างต้นนะคะ.... : )

คำสำคัญ (Tags): #สิ่งเล็กๆน้อยๆ
หมายเลขบันทึก: 490707เขียนเมื่อ 10 มิถุนายน 2012 09:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 สิงหาคม 2012 05:41 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

อ่านแล้วได้อารมณ์เก้ๆกังๆแบบเดียวกันเลยค่ะ

ขอบคุณกับบันทึกเบาๆค่ะ

krugui ขอบคุณมากค่ะ ตอนเขียนเล่าก็รู้สึกอายตัวเอง ว่าเราทำไปได้ยังไง ตอนโพสต์ยิ่งอายเข้าไปใหญ่ เพราะกลัวเพื่อนมาอ่าน แต่เพื่อนบอกว่าแก่ๆกันแล้วอยากโพสต์อะไรก็โพสต์ไปเถอะ แปลว่าผ่านการอนุมัติแล้วอะค่ะ  ^_^ 

เวลาไปกินข้าวกับอาจารย์ฝรั่งที่นี่ เขาคุยกันเรื่องวิชาการยังพอฟังทัน

เกิดอาการเก้ ๆ กัง ๆ สุดขีดก็อีตอนที่เขาพูดขำขันกัน (ฟังไม่ทันแต่เดาเอาจากท่าที)

ไม่ใช่อารมณ์เก้ ๆ กัง ๆแต่เป็น อาการเก้ ๆ กัง ๆ จากฟังไม่ทัน

ไม่รู้จะแสดงทีท่าออกไปอย่างไร เก้ ๆ กัง ๆ จริง ๆ

เรียนอาจารย์ ดอกไม้ทะเล ชอบอาการ "“ขำอมๆ” )ของอาจารย์

แต่สำหรับผม เกิดอาการ "ยิ้มออกเสียง" ทุกครั้งที่มีมีเรื่องตลกๆ  อาจารย์น่าจะลองยิ้มออกเสียงดูบ้างน่ะ

ขำอมๆ กับยิ้มออกเสียงผมว่าอาการคล้ายกันน่ะครับ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท